Friday, October 15, 2010

การใช้คนของโจโฉ

โจโฉนั้นเป็นคนขี้ระแวงคน
โจโฉเอาแต่ความสามารถ
จุดเด่นในการใช้คนของโจโฉคือโจโฉเอาแต่ความสามารถ คือโจโฉในตอนนั้นกำลังจะขึ้นปกครองประเทศ โจโฉได้ประกาศฉบับหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า “คำสั่งแสวงหานักปราชญ์” เสนอแนวทางใช้คนที่เอาแต่ความสามารถ โดยบอกไว้ในประกาศนี้ว่า หากใช้แต่คนสุจริต ไฉนฉีเหวิน กง จะเป็นใหญ่ได้
ฉี เหวิน กง เป็นคนที่ในสมัยก่อนหน้านั้นที่เขาเป็นใหญ่ในแคว้นฉี ขอแต่ให้มีความสามารถเราได้ก็จักใช้
คำสั่งสองฉบับชี้ให้เห็นว่า “บัณฑิตที่มีความประพฤติดีใช่ว่าจักใช้ได้ ผู้ที่ใช้ได้ไม่แน่ว่าจะประพฤติดี”
พูดง่ายๆ ก็คือว่าโจโฉเอาคนเก่งอย่างเดียว ไม่เอาคุณธรรม
จะเห็นได้ว่าผู้ที่มีข้อบกพร่องไม่ควรทิ้งห่างคนใช้ ไม่ว่าจะต่ำช้าสักเพียงใด แม้กระทั่งคนที่ไร้เมตตาธรรม ไร้ความกตัญญู ขอแต่ให้มีฝีมือการปกครองและใช้ทหารเป็น ก็ต้องนำมาใช้
นี่คือวิธีใช้คนของโจโฉ
ดังนั้นถ้านายของท่านเอาคนแต่ความสามารถ ไม่ดูคุณธรรม ไม่ดูที่มาเลย นายท่านคือ “โจโฉ”
…แต่ว่าในตำนานสามก๊กนั้นไม่ได้หยิบยกคำสั่งแสวงหานักปราชญ์มาพูดเลย ได้แต่อาศัยพฤติการการใช้คนของโจโฉ เผยให้เห็นจุดเด่นของโจโฉที่ใช้คนโดยดูที่ความสามารถเป็นหลัก
เพราะว่าโจโฉใช้คนใช้คนโดยไม่คำนึงถึงชาติตระกูล และความประพฤติเลย จะเป็นใครก็ได้โดยไม่ต้องเป็นผู้รากมากดี ไม่ต้องจบ MBA ไม่ดูความประพฤติเลย แม้ว่าจะเป็นโจรป่ามาแต่ขอให้มีความสามารถ…ใช้ทั้งหมดเลย
คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่จึงเข้ามานอบน้อม บุคลากรของโจโฉเลยมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบู๊ หรือฝ่ายบุ๋น
คนที่เป็นนักปรึกษาที่เด่นๆ ในหมู่นักปรึกษาของโจโฉนอกจากซุนฮกซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์คนหนึ่งแล้ว ยังมีกุยแก
ซึ่งกุยแกนั้นว่ากันว่าเป็นคนที่ฉลาด ยังไม่รู้เลยว่าเจอขงบ้งแล้วใครจะฉลาดกว่ากัน เพราะกุยแกตายไปเสียก่อน
กุยแก เป็นนักวางแผนชั้นเยี่ยมคนหนึ่ง เขาเสนอกลอุบายพิศดารให้แก่โจโฉเป็นอันมากตลอดมา
กลอุบายแต่ละอย่างก็ได้บรรลุผลทั้งสิ้น

เรียนรู้จากยอดคนสามก๊ก วิถีเล่าปี่

strong>เล่าปี่ไม่ใช่ตัวละครที่มีคนชอบในสามก๊กมากที่สุด
ทว่าใครก็ตามที่อยากจะสร้างตัว นอกจากจะศึกษาเถ้าแก่มหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จแล้ว ก็ควรเอาอย่างเล่าปี่
ตอนที่แล้วได้อารัมภบทถึงเล่าปี่ในด้านการบริหารและการจัดการมาแล้ว
ขอสรุปวิถีเล่าปี่ในเชิงกลยุทธ์และการจัดการสมัยใหม่ให้เห็นชัดๆ
1 Image คือทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังได้กล่าวมาแล้วว่าเล่าปี่สร้างตัวจากไม่มีอะไร
ในยามกลียุค เกิดศึกสงครามทั่วแผ่นดินนั้น ใครก็สามารถสร้างตัวขึ้นเป็นใหญ่ได้ หากรู้จักสร้างโอกาสให้ตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ
เล่าปี่คงไม่รู้หลักการตลาดในทางทฤษฎี ทว่าในภาคปฏิบัติแล้ว เขาคือปรมาจารย์
การตลาดที่เล่าปี่ใช้ก็คือการตลาดแบบปากต่อปาก หรือ Word of Mouth Marketing
ในยามสื่อทั้งหลายยังไม่เจริญ การใช้ปากคนพูดต่อๆไปนั้น จะได้ผลดีที่สุด
ถ้าจะให้คนพูดถึงตัวเองในแง่ดี ก็ต้องวางตัวและประพฤติปฏิบัติให้คนเห็นว่าเป็นคนดี
ยุคสามก๊กเป็นยุคที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ยากที่มวลชนจะฝากผีฝากไข้ไว้กับผู้ปกครองคนหนึ่งคนใดได้
เล่าปี่วางตัวเป็นคนมีคุณธรรม ไม่แย่งยึดเมืองจากคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสกุลเดียวกันอย่างไร้คุณธรรม ทั้งๆที่ในยุคนั้น เพื่อบรรลุเป้าหมาย ต้องไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้
การทำตัวมีคุณธรรม แม้จะทำให้ “ต้นทุน” การตั้งตัวสูงขึ้น แต่ทว่าในเชิงภาพลักษณ์แล้วได้เต็มๆ
ภาพลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ผู้มีคุณธรรม จิตใจโอบอ้อมอารี เห็นแก่อาณาประชาราษฎร์
นี่เอง ทำให้ชนะใจมวลชน เมื่อจะทำการใหญ่ก็ง่ายกว่าคนอื่น
แต่ท้ายที่สุดเล่าปี่ก็คือนักการเมืองผู้หนึ่ง เช่นเดียวกับโจโฉ เพียงแต่เลือกเดินคนละสายเท่านั้น
เล่าปี่เลือกเดินสายพิราบ สมานฉันท์ สันติภาพ
เล่าปี่ไม่สามารถเดินสายเดียวกับโจโฉ เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
ความสำเร็จของเล่าปี่ คือความสำเร็จของการตลาดภาพลักษณ์(Image Marketing)
ตัวตนจริงๆของเล่าปี่จะเป็นอย่างไรไม่มีใคร แต่เมื่อประชาชนมองว่าเขาเป็นคนดีมีคุณธรรม
ภาพลักษณ์นี้ก็จะติดตัวเขาตลอดไป
2. มอบอำนาจสิทธิ์ขาดให้ผู้มีสติปัญญาเหนือตน
ผู้ประกอบที่เริ่มตั้งตัวนั้น ต้องมีปณิธาน ต้องการตั้งตัวเป็นใหญ่
มีความฝัน ส่วนจะทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัญญาและความสามารถ ตลอดจนกระทั่งบุคลากรเพียบพร้อมหรือไม่
จุดที่ทำให้ผู้ตั้งตัวเป็นใหญ่ไปไม่ถึงไหนก็คือคนแวดล้อมนั้นล้วนแต่เป็นผู้ประจบสอพลอ ทำให้ไม่สามารถสานฝันจนถึงฝั่งได้
จุดอ่อนอีกประการก็คือ ไม่รู้จุดอ่อน จุดแข็งของตน
เล่าปี่รู้ตัวดีว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำคนอื่นๆแล้ว ตนนั้นเต็มไปด้วยจุดอ่อน มีจุดแข็งน้อยมาก
จุดแข็งเด่นๆของเล่าปี่มีเพียงสองประการเท่านั้น
นั่นคือภาพลักษณ์คนดีมีคุณธรรม และมีศิลปะในการครองใจคน
ทว่าหากจะตั้งต้นเป็นใหญ่ จุดแข็งทั้งสองประการไม่เพียง
ต้องมีสติปัญญาเหนือคน เพราะในยุคสามก๊ก ไม่ได้รบกันด้วยกำลัง ไม่เช่นนั้นลิโป้คงเป็นใหญ่ในแผ่นดินแล้ว
เมื่อเล่าปี่สำนึกว่าตนนั้นด้อยสติปัญญา ก็ไม่ฝืน พยายามหาผู้มีสติปัญญามาเป็นกุนซือ
เพราะรู้ว่าการมีสามทหารเอก กวนอู เตียวหุย จูล่ง ไม่เพียงพอกับการตั้งตัวเป็นใหญ่ เขายังขาดมันสมองใหญ่ในการกำหนดแผนรบและครองแผ่นดิน
เขาแตกต่างจากโจโฉที่ทั้งมีความสามารถในการรบและวางแผนการรบด้วยตัวเองได้
ขณะที่เล่าปี่ไม่มีในสิ่งที่โจโฉมี จึงต้องหาคนมากระทำการแทน
การเพียรพยายามไปเยือนกระท่อมหญ้าของขงเบ้งที่เขาโงลังกั๋งถึง 3 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับกุนซืออย่างสูง เพราะก่อนหน้าเขาเห็นว่าการรบอย่างมีแผน กับการรบอย่างไร้แผนนั้น ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร
เมื่อชีซีและสุมาเต็กโช ให้การยกย่องขงเบ้งอย่างสูง
เขาจึงเชื่อมั่นและให้ความสำคัญกับพญามังกรแห่งเขาโงลังกั๋งมากๆ ทั้งๆที่ขงเบ้งอายุเพียง 27 ปีและไม่มีประสบการณ์มาก่อน
ทว่าเล่าปี่ก็พร้อมมอบอำนาจให้ขงเบ้งเป็นซีอีโอ
ส่วนตนเองนั่งเก้าอี้ Chairman
ถ้าเขาใช้คนผิด ก็อาจล่มสลาย
ถ้าใช้คนถูก ก็เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

ผู้นำระดับ 5 ชัยชนะของความอ่อนน้อมถ่อมตน และความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า

ผู้นำระดับ 5 (Level 5 Leadership)
ชัยชนะของความอ่อนน้อมถ่อมตน และความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า
บทเรียนจาก Good to Great

ในปี 1971 Darwin E. Smith ถูกเสนอชื่อให้เป็น CEO ของ บริษัท Kimberly-Clark บริษัทผลิตกระดาษอนุรักษ์นิยมผลตอบแทนหุ้นในช่วง 20 ปีก่อนหน้าก็ต่ำกว่าตลาดรวมถึง 36 % Smith เป็นทนายความประจำบริษัท บุคลิกสุภาพ เงียบขรึม เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าคณะกรรมการจะตัดสินใจถูกต้อง กรรมการบริษัทคนหนึ่งมองว่าเขาขาดคุณสมบัติบางอย่าง ทว่าในที่สุด Smith ก็ก้าวขึ้นเป็น CEO และดำรงตำแหน่งนี้นานถึง 20 ปี ภายใต้การบริหารของเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าพิศวง และส่งผลให้บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจกระดาษชำระ (Consumer paper) ของโลก
Kimberly-Clark เอาชนะคู่แข่งอย่าง Scott และ Procter & Gamble ยิ่งไปกว่านั้นหุ้นของบริษัทยังให้ผลตอบแทนสะสมมากกว่าผลตอบแทนโดยรวมของตลาดถึง 4.1 เท่า ผลตอบแทนที่ว่านี้สูงกว่าหุ้นของบริษัทที่มีประวัติยาวนานน่าเลื่อมใสอย่าง Hewlett-Packard, 3M, Coca-Cola, รวมทั้ง GE
การฟื้นฟู Kimberly-Clark ของ Smith ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 20 การที่ผู้บริหารนำพาบริษัทที่แทบจะไม่มีอะไรดีให้กลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงได้
ทว่าน้อยคนนักจะรู้จักชื่อของ Darwin E. Smith กระทั่งนักศึกษาที่เรียนด้านประวัติศาสตร์ธุรกิจเองก็ตามบางที Smith อาจจะชอบที่ไม่มีคนรู้จัก แม้เขาจะเป็นตัวอย่างคลาสสิกมากของผู้นำระดับห้า (Level 5 Leader) ในฐานะคนๆ หนึ่ง ซึ่งผสมผสานความถ่อมตัวอย่างสุดขั้ว (extreme personal humility) กับความมุ่งมั่นในวิชาชีพอย่างแรงกล้า (intense professional will) เนื่องเพราะการศึกษาตลอด 5 ปี พบว่าผู้บริหารที่มีคุณสมบัติที่ขัดแย้งในลักษณะนี้เป็นตัวกระตุ้นที่พบเห็นไม่บ่อยนัก ในการพลิกโฉมบริษัทดีให้กลายเป็นบริษัทดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง
Level 5 ถือเป็นระดับสูงสุดของความสามารถผู้บริหาร ผู้นำตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับสี่อาจจะสร้างความสำเร็จในระดับสูงได้ ทว่ายังไม่ดีพอ ที่จะยกระดับบริษัทธรรมดาๆ ให้เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าผู้นำระดับห้าจะไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวที่จะพลิกโฉมบริษัท
แต่งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการพลิกโฉมของบริษัทจะไม่เกิดขึ้นหากปราศจากผู้นำระดับห้า
บุคลิกสุดหยั่งคาดของผู้นำระดับห้า
การค้นพบเกี่ยวกับผู้นำระดับห้า (Level 5 Leader) เป็นเรื่องที่ขัดแย้งต่อสัญชาตญาณจริงๆ แล้วเข้าขั้นฝืนความนึกคิด คนทั่วไปมักจะคาดเดาว่าการพลิกโฉมจากบริษัทชั้นดีไปสู่บริษัทชั้นเลิศนั้นต้องการผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มากกว่าผู้นำที่ดูเป็นมนุษย์เดินดินจริงๆ หรือผู้นำที่มีบุคลิกภาพโดดเด่น เช่น Iacocca (Chrysler), Dunlap (Scott Paper), Welch (GE), และ Gault (Rubbermaid) ซึ่งมักทำตัวเป็นข่าวจนกลายเป็นคนดังที่ใครต่อใครรู้จักไปทั่ว
Smith ดูราวกับมาจากดาวอังคารเมื่อเปรียบเทียบกับ CEO เหล่านี้ ความเงียบขรึม ถ่อมตัว เคอะเขิน เป็นคุณสมบัติที่ทำให้เขาหลบเลี่ยงจากความสนใจของผู้คนเมื่อนักข่าวถามเกี่ยวกับสไตล์การบริหารของ Smith เขาปล่อยให้ทุกคนอยู่ในภาวะเงียบงันและอึดอัดอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่จะตอบว่า “บ้าระห่ำ (Eccentric)”
หากท่านมองว่า Smith เป็นคนอ่อนโยนและนุ่มนวลท่านกำลังเข้าใจผิดมหันต์ การไม่เสแสร้ง ประสานกับความเอาจริงเอาจัง อดทน มุ่งมั่นในชีวิต Smith เติบใหญ่ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในอินเดียนา ส่งเสียตนเองเรียนภาคค่ำที่มหาวิทยาลัยอินเดียนา โดยทำงานช่วงกลางวันที่ International Harvester กิจวัตรประจำวันของเขาคือการไปเรียนช่วงค่ำและตื่นมาทำงานในวันรุ่งขึ้น วันหนึ่งเขาเสียนิ้วมือไประหว่างการทำงาน ในที่สุดเด็กชาวนาผู้ยากจนแต่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นก็สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนกฎหมายที่ดีที่สุด เมื่อ Harvard law school ตอบรับเขาเข้าเป็นนักศึกษากฎหมาย
เขาแสดงให้เห็นความตั้งใจเด็ดเดี่ยวแบบเดิม เมื่อเข้ากุมบังเหียนในฐานะ CEO ของ Kimberly-Clark หลังจากดำรงตำแหน่ง CEO ได้ 2 เดือน แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็งจมูก-คอ และจะมีชีวิตอยู่ไม่เกิน 1 ปี เขาแจ้งเรื่องนี้อย่างเป็นทางการแก่คณะกรรมการบริหารบริษัท แต่ก็สำทับว่าเขายังไม่มีแผนลาโลกในเร็ว ๆ นี้
เขาทำงานตามกำหนดอย่างที่ตั้งใจ ขณะเดียวกันก็ต้องเดินทางไปมาระหว่าง Wisconsin กับ Houston ทุกอาทิตย์เพื่อรับการรักษาด้วยรังสี Smith มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 25 ปี มีวาระแห่งการเป็น CEO นานถึง 20 ปี
การแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของ Smith คือการสร้าง Kimberly-Clark ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจขายโรงงาน ซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของบริษัท หลังจากที่เข้ารับงานในบริษัท Smith และทีมงานลงความเห็นว่าธุรกิจดั้งเดิมของบริษัทคือการทำกระดาษเคลือบ (coated paper) ใกล้จะแย่ เศรษฐกิจไม่ดีคู่แข่งอ่อนแอ แต่ถ้า Kimberly-Clark เข้าสู่ความโชติช่วงของธุรกิจกระดาษชำระ เผชิญหน้ากับคู่แข่งระดับ World Class อย่าง P&G อาจจะผลักดันให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างงดงามหรือไม่ก็ย่อยยับไปเลย
ไม่ต่างจากนายพลที่เผาเรือเมื่อขึ้นฝั่งบนแผ่นดินของข้าศึก ปล่อยกองทหารไปยึดที่มั่นให้สำเร็จหรือไม่ก็ตายเสีย Smith ประกาศว่า Kimberly-Clark จะขายโรงงาน ไม่เว้นแม้แต่โรงงานที่ Kimberly ใน Wisconsin
การดำเนินการทั้งหมดเพื่อก้าวสู่ธุรกิจกระดาษชำระ มีการลงทุนในแบรนด์ เช่น Huggies diapers และ Kleenex tissue
นักข่าวเรียกการกระทำนี้ว่าเป็นก้าวย่างที่โง่เขลา นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้น Wall Street ลดอันดับหุ้นของบริษัทลง แต่ Smith ไม่เคยหวั่นไหว 25 ปีหลังจากนั้น Kimberly-Clark เป็นเจ้าของ Scott paper และเอาชนะคู่แข่งอย่าง P&G โดยสินค้าในหมวดเดียวกัน 6 ใน 8 ชนิด ของ Kimberly-Clark มีส่วนแบ่งตลาดสูงกว่า P&G
เขาได้รับการยอมรับในผลงาน Smith กล่าวคำพูดสั้นๆ ง่ายๆ ในวันเกษียณว่า “ผมไม่เคยละความพยายามเพื่อให้งานอยู่ในมาตรฐานที่ดี”

ผู้นำระดับห้า (Level 5 Leader): ส่วนผสมที่ลงตัวของความถ่อมตัวกับความมุ่งมั่น

Level 5 เป็นการศึกษาคุณลักษณะที่เป็นคู่กัน เช่น ความถ่อมตัวกับความมุ่งมั่น ความขี้อายกับหาญฮึก เพื่อทำความเข้าใจและเห็นภาพรวมลองพิจารณาตัวอย่างของ Abraham Lincoln ผู้ไม่ยอมปล่อยให้อัตราเบี่ยงเบนความทะเยอทะยานเพื่อสร้างประเทศที่ยิ่งใหญ่แบบยั่งยืน
Henry Adams นักเขียนชื่อดังเรียกเขาว่า บุคคลที่เงียบขรึม สงบ และขี้อาย มันอาจจะเกินไปถ้าจะเปรียบเทียบ ผู้นำระดับห้า ทั้ง 11 คน กับ Lincoln แต่พวกเขาแสดงความเหมือนของคุณลักษณะที่เป็นคู่กันในบางแง่
Colman M. Mockler ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Gillette ตั้งแต่ปี 1975-1991 เผชิญความพยายามครอบงำกิจการถึง 3 ครั้ง เขาเป็นคนที่มีความสงบเสงี่ยม มีเมตตา สุภาพอ่อนโยนเข้าขั้นผู้ดีเลยทีเดียว ทั้งที่ช่วงบริหารงานเป็นยุคแห่งสงครามธุรกิจ ความพยายามเทกโอเวอร์ 2 ครั้งจาก Ronald Parelman และ 1 ครั้งจาก Coniston Parners ทว่า Mockler ไม่เคยสูญเสียความเงียบขรึม และความสุภาพ ในช่วงวิกฤตที่สุดของการดำเนินธุรกิจต่อไป ก่อนที่จะฝ่าฟันกับการครอบงำกิจการ เขาก็ยังคงรักษาความสงบในบริษัทได้เป็นปกติเฉกเช่นเคย
คนไม่น้อยเข้าใจว่าความถ่อมตัวที่เขาแสดงออกมาเป็นสัญลักษณ์ของ ความอ่อนแอภายใน ซึ่งไม่จริง
การห้ำหั่นกับนักเทกโอเวอร์ครั้งหนึ่ง Mockler และทีมผู้บริหารอาวุโสของบริษัทเรียกประชุมผู้ถือหุ้นหลายพันคนทีละคน เพื่อขอให้คนเหล่านั้นไม่ขายหุ้นออกไป ดูเหมือนว่าเขาไม่ยอมจำนน เขาเลือกที่จะต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่ในอนาคตของ Gillette ทั้งที่เขาอาจจะได้เงินอีกหลายล้านเหรียญจากราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้น
ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นที่ยอมรับราคาเสนอซื้อที่สูงกว่าราคาตลาดถึง 44 % แล้วนำเงินที่ขายหุ้นกลับมาลงทุนในตลาดต่อไปอีก 10 ปี ผลตอบแทนที่เขาได้รับจะต่ำกว่าผู้ที่ยังคงถือหุ้นของ Gillette ซึ่งมี Mockler นั่งบริหารอยู่ถึง 64 % ถ้า Mockler ไม่สู้ต่อพวกเราคงไม่ได้ใช้มีดโกนหนวดที่มี sensor, Lady sensor หรือ Mach III และคนอีกหลายร้อยล้านในโลกคงจะต้องได้แผลจากการโกนหนวดทุกเช้าเป็นแน่
น่าเศร้าที่ Mockler ไม่มีโอกาสได้ภาคภูมิใจอย่างเต็มที่กับผลแห่งความพยายามของเขา ในเดือนมกราคม 1991 บริษัทได้รับนิตยสาร Forbes ฉบับล่วงหน้าก่อนวางแผง ซึ่งลงเรื่อง Mockler เป็นเรื่องปก และมีรูปเขายืนอยู่บนยอดสูง กำลังชูใบมีดใบใหญ่เหนือศีรษะ โพสท่าแสดงความยินดีในชัยชนะ เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่เห็นว่าสาธารณชนรับรู้ถึง 16 ปี แห่งความอุตสาหะ และยากลำบาก ในห้องทำงานของเขา Mockler ล้มลงกับพื้นและสิ้นใจเนื่องจากหัวใจวายเฉียบพลัน
ถึงแม้ Mockler จะล่วงรู้ว่าเขาอาจจะต้องตายในห้องทำงาน เขาก็อาจไม่มาทำงาน
บุคลิกที่สงบเสงี่ยมของเขาบดบังความมุ่งมั่น และเสียสละที่จะทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด มิใช่เพราะสิ่งที่เขาอาจได้รับกลับมา แต่เพราะเขาไม่สามารถคิดถึงการทำสิ่งเหล่านั้นในหนทางอื่นได้ Mockler ไม่เคยยอมแพ้ปล่อยบริษัทให้ตกอยู่ในมือของผู้ที่อาจทำลายมัน ไม่ต่างจาก Lincoln ที่ไม่ยอมเสี่ยงที่จะสูญเสียโอกาสในการสร้างชาติที่ยิ่งใหญ่ให้ยืนยงสืบไป

ใครคือ Mentor ของคุณ ตอน 1

ผมเคยบทความชิ้นหนึ่งเมื่อกว่าหนึ่งทศวรรษมาแล้ว ในนิตยสารจีเอ็มนี่แหละ

บทความชิ้นนั้นชื่อ “ Mentor แปลว่ากุนซือ”

จำได้ว่าช่วงนั้น สามก๊กที่ฉายทางช่องเก้ากำลังดังมากๆ ผมเลยแปลว่ากุนซือ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ ทว่าช่วงนั้นกำลังอินกับสามก๊ก ก็เลยแปลไปตามนั้น
จริงๆคำว่า Mentor นั้น มีที่มาจากเทพปกรณัมกรีกยุคโบราณ ในช่วงที่นครรัฐต่างๆในกรีก ต่างบ่ายหน้าไปรบกับกรุงทรอย เพราะเจ้าชายปารีสแย่งนางเฮเลนจากผู้ครองนครรัฐองค์หนึ่งของกรีกไป
สงครามระหว่งกรีกและทรอย ส่วนใหญ่ก็คงจะรู้กันแล้ว ไม่ขอเล่าซ้ำ
ในบรรดาผู้ครองนครรัฐของกรีกนั้น ผู้ที่ได้ชื่อว่าเจ้าปัญญามากที่สุดก็คือ Odysseus ผู้ครองนครรัฐ Ithaca
หลังจากที่ Odysseus ไปรบที่กรุงทรอยก็ฝากลูกที่ชื่อ Telemachus ไว้กับ Mentor ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท
Odysseus จากบ้านเมืองไปนานนับสิบปี แม้จะชนะสงคราม ถล่มกรุงทรอยเสียจนล่มสลาย ทว่าความเหี้ยมโหดของพวกกรีกและเคารพเทพเจ้า ทำให้เทวดากรีกลงโทษเจ้าผู้ครองทั้งหายเสียจนอ่วมอรทัย
หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Odysseus นี่เอง
เขาถูกลงโทษให้ผจญภัยในท้องทะเลนานหลายปี จนชื่อโอเดสซี่ แปลว่าการผจญภัยอันยาวนาน
Mentor เพื่อนของ Odysseus ก็ฟูมฟัก Telemachus อย่างดี เรียกว่าไม่ทำให้ Odysseus ก็แล้วกัน
ต่อมา Mentor ได้กลายเป็นคำศัพท์ไปในที่สุดเช่นเดียวกับคำอื่นๆที่มาจากตำนานกรีก
American Heritage Dictionary ให้ความหมายว่า A wise and trusted counselor or teacher
ผมคิดว่าเป็นความหมายที่ดี แม้ว่าน่าจะมีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ก็ตาม
ก่อนที่จะสรุปว่าเมนเตอร์ตามความหมายของผมคืออะไรนั้น ผมอยากบอกว่าทำไมถึงอยากเขียนเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่เคยเขียนไปตั้งนานหลายปีแล้วก็ตาม
สาเหตุก็เพราะสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ถือว่าย่ำแย่มาก
การขัดแย้งกันค่อนข้างรุนแรง ไม่รู้ว่าใครมีอำนาจกันแน่
รัฐบาลนี้ถือว่าเป็นรัฐบาลชั่วคราว เข้าบริหารประเทศในยามวิกฤต
ไหนจะต้องจัดการกับคดีต่างๆของอำนาจเก่า
ไหนจะต้องบริหารประเทศท่ามกลางความไม่ยอมรับของตะวันตก
ไหนจะต้องกังวลกับกลุ่มอำนาจเก่าที่ไม่ยอมอยู่เฉยๆเป็นแน่ เพราะถูกรุกอย่างหนัก
คดีกุหลาบแก้ว ทำให้ต้องหาทางสะสางเรื่องโนมินี ซึ่งส่งผลกระทบกับนักลงทุนที่อยู่ในประเทศแล้ว ขณะที่เม็ดเงินใหม่ก็ไม่ไหลเข้าประเทศ
ส่วนประเทศเพื่อนบ้านต่างแสวงหาเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศอย่างขมีขมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนาม ซึ่งน่ากลัวมากๆ
การปะทะระหว่างกลุ่มพลังต่างๆจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ปฏิวัติซ้ำ ปฏิวัติซ้อนจะเกิดขึ้นไหม
ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเรื่อยๆ
ประชาชนเก็บเงินไว้ไม่ใช้จ่าย
เอกชนขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน
ขณะที่ต่างชาติขาดความเชื่อถือประเทศไทย จนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
สถานการณ์เช่นนี้ เราๆท่านๆโดยเฉพาะผู้อยู่ในวงธุรกิจจะเอาตัวรอดได้อย่างไร
ผมคิดว่าผู้ที่จะประคับประคองตัวให้ผ่านวิกฤตไปได้นั้น ก็ต้องมีเมนเตอร์ที่ดีเท่านั้น
ผมขอเล่าตัวอย่างเมนเตอร์จากภาพยนตร์สามเรื่อง
สองเรื่องเป็นหนังใหญ่ อีกสองเรื่องเป็นละครทีวีของเกาหลี
ใครดูตำนานพระนเรศวรภาค 1 บ้างครับ
ตัวละครที่ผมชอบมากในภาคนี้ก็คือ พระเจ้าบุเรงนอง
ทว่าตัวละครที่ได้ยินชื่อมานาน ทว่าไม่เคยทราบว่ามีบทบาทมากขนาดนี้ คือมหาเถรคันฉ่อง
ปล.พรุ่งนี้จะเข้ามาต่อตอน 2 เด้อ

มหาเถรคันฉ่องและพระนเรศวร

มหาเถรคันฉ่องและพระนเรศวร
มหาเถรคันฉ่องเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่พระเจ้าบุเรงนองเคารพนับถือมาก เมื่อมีปัญหาอะไร บุเรงนองจะขอคำปรึกษาอยู่เนืองๆ
บุเรงนองนั้นรักและเอ็นดูสมเด็จพระนเรศวรมากๆ จึงมอบหน้าที่ในการกล่อมเกลาเลี้ยงดูให้มหาเถรคันฉ่องที่พระองค์ไว้วางพระทัย
มหาเถรคันฉ่องนั้น น่าจะเป็นมอญ ดังนั้นความภักดีต่อพม่านั้น คงไม่ แต่ผูกพันกับคนมากกว่า หมายความว่าหมดยุคบุเรงนองแล้ว ก็คงหมดกัน
ในภาพยนตร์นั้นมหาเถรคันฉ่องพบพระนเรศวรตอนแรก(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ตอนที่มากับบุญทิ้ง มหาเถรฯบอกว่าจะสอนการใช้เคียว บุญทิ้งยังบ่นว่าเคียวจะไปทำอะไรได้ มหาเถรฯก็ขว้างเคียวเฉี่ยวหน้าบุญทิ้งไป และบอกว่าถ้ารู้วิธีใช้ก็เป็นอาวุธได้
มหาเถรคันฉ่องไม่เพียงถ่ายทอดวิทยายุทธ์และพิชัยสงครามเท่านั้น หากยังสอนการปกครองคนอีกต่างหาก
ตอนที่พระนเรศวรหนีกลับไทยนั้น มหาเถรฯยังถอดจิตตามมาสอนเรื่องการครองใจคน
ภาคสองเมื่อพระนเรศวรกลับมาพม่า ช่วยตีเมืองคัง แต่มังสามเกียดปองร้าย ก็ได้มหาเถรฯเตือนภัย
และเมื่อพระราชมนูมีภัย มหาเถรฯก็บอกพระนเรศวรให้ไปช่วย
กล่าวได้ว่ามหาเถรคันฉ่องคือเมนเตอร์ของพระองค์
และมหาเถรคันฉ่องนี่แหละที่เป็นหนึ่งในหัวใจความสำเร็จ

โมลาซูและชาง เมนเตอร์ 3

หนังเกาหลีอีกเรื่องนึงที่ดังมากๆเมื่อสองสามเดือนก่อน ซึ่งผมอยากจะเขียนยาวๆสักตอน คือเรื่องซอดองโย สายใยรักสองแผ่นดิน
เรื่องนี้ยาวมากและสนุกมากๆ แม้จะไม่ดังเท่าแดจังกึม ทว่าดังมากๆทีเดียว
ซอดองโยเป็นประวัติชีวิตการต่อสู้ของพระเจ้ามูชาง กษัตริย์แคว้นพักเจที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง
พักเจเป็นหนึ่งในสามแคว้นของเกาหลี ก่อนหน้าการรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว
พระเจ้ามูชางเป็นกษัตริย์ที่เกิดจากนางรำยอนกาโม ทำให้ต้องใช้ชีวิตธรรมดาอย่างระหกระเหิน กว่าจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ก็เกือบตาย
ยอนกาโมแม่ของชางนั้นเป็นอดีตคู่หมั้นของโมลาซู ซึ่งเป็นหัวหน้าโรงฝึกช่าง ซึ่งเป็นแหล่งประดิษฐ์คิดค้นของพักเจ และเป็นฐานอำนาจสำคัญของกษัตริย์พักเจ
ยอนกาโมเอาลูกมาฝากแฟนเก่าให้ฝึกปรือ โดยตัวเองก็บอกมาไม่ได้ว่าชางคือลูกกษัตริย์
การนำลูกมาฝากโมลาซู ซึ่งรู้ว่าเป็นยอดฝีมือในด้านการประดิษฐ์คิดค้น ก็เหมือนกับโอเดสซิอุสฝากลูกไว้กับเมนเตอร์ให้เลี้ยงดูนั่นเอง
ทว่าชางไม่ได้โชคดีเหมือนลูกโอเดสซิอุส เพราะโมลาซูยังติดใจที่แฟนเก่าเลิกกับตัวเองไปท้องกับใครก็ไม่รู้ จากนั้นส่งลูกมาให้ตัวเองฝึกวิทยายุทธ์ แต่ชางก็ถูลู่ถูกังอยู่กับโมลาซูมาโดยตลอด ตามคำสั่งเสียของแม่และเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคนมี
ความสามารถ
ความสัมพันธ์ระหว่างโมลาซูและชางพัฒนาลึกซึ้งไปเรื่อยๆ
โมลาซูถ่ายทอดทุกอย่างให้ชาง ขณะเดียวกับชางก็เหมือนจังกึมคือมีความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ สามารถต่อยอดไปไกลได้มากกว่าอาจารย์เสียอีก
ความสำคัญของโมลาซูที่มีต่อชางนั้นมากเสียจนกระทั่ง มีอยู่ตอนหนึ่งที่คิดกันว่าโมลาซูตายไปแล้ว ชางถามตัวเองว่า “จะอยู่ได้อย่างไรถ้าโลกไม่มีอาจารย์แล้ว”
โมลาซูจึงเป็นมากกว่าอาจารย์และเมนเตอร์
ลึกซึ้งไปถึงขั้นเป็นพ่อลูกกันเลย
ก็เหมือนกับจังกึมและฮันซังกุง นั่นเอง
เมนเตอร์จะเป็นหัวใจความสำเร็จในยามที่เราตกระกำลำบาก
พวกเขาจะรู้จักเราแบบทะลุปรุโปร่ง
พวกเขาหวังดีกับเราโดยไม่ต้องการผลตอบแทน
จะชี้สว่าง
ประคับประคอง
และฉุดเราให้พ้นจากหุบเหว
คุณล่ะ
ใครเป็นเมนเตอร์ของคุณ

แบรนด์ที่ชื่อ……ประเทศไทย –ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

กว่าจะทันตั้งตัว….. ก็สายเสียแล้ว
ประโยคข้างบนดังกล่าวถือเป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมครับ ต่อสิ่งที่ผมรู้สึกต่อปรากฎการณ์หลายเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ประเทศไทยแห่งนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศไทย
แดจังกึม เป็นตัวอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า หากประเทศไทยไม่พยายามสร้างแบรนด์ของตนให้เข้มแข็ง ในรูปแบบรวมพลังแล้ว คำว่า “ไทยแลนด์” คงผงาดในเวทีโลกยากครับ
วันนี้ คนหลายประเทศและ 1 ในนั้นคือคนไทยรู้จักประเทศเกาหลีมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารเกาหลีจากละครโทรทัศน์ “แดจังกึม” ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการทำอาหารของเกาหลี อำนวยการสร้างโดยภาคเอกชนแต่เป็นการขานรับนโยบายจากภาครัฐ ถือเป็นการรวมยุทธศาสตร์ภาครัฐและเอกชนในการขยายทุนทางวัฒนธรรมในรูปแบบ “ละคร” ได้อย่างแนบเนียนและที่สำคัญได้อรรถรสในการชมแบบไม่น่ารังเกียจ
วันนี้ “อาหารเกาหลี” จึงกลายเป็นเมนูที่คนดู “แดจังกึม”อยากชิมมากที่สุด
วันนี้ “เด็กไทยรุ่นใหม่” หลายคนรู้จักที่มาของอาหารเกาหลีมากกว่าอาหารไทยจาก “แดจังกึม”
ผมไม่แน่ใจว่าผลสะท้อนที่ออกมามากกว่าเรตติ้งของผู้ชม ทางผู้ใหญ่ของบ้านเราเริ่มนำมาคิดวิเคราะห์และศึกษาเป็นแบบอย่างหรือไม่ ???
รัฐบาลประกาศนโยบาย “ครัวไทย ครัวโลก” ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าคนทั่วโลกรู้จักอาหารไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่ และที่สำคัญรู้จักแล้วอยากลิ้มลองรสชาติอาหารไทย มากน้อยขนาดไหน
ผมเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลใช้ในขณะนี้ ไม่ว่าการ สนับสนุนให้ภาคเอกชนขยายกิจการร้านอาหารไทยในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น การใช้วัตถุดิบภายในประเทศที่ได้รับการควบคุมตรวจสอบ การปรุงอาหารตามตำรับไทยแท้โดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้คนต่างชาติอยากชิมอาหารไทย โดยตัดสินใจเป็นอาหารมื้อพิเศษนอกบ้านในวันไม่ธรรมดาครับ
ต่อให้มีร้านอาหารไทยขึ้น เป็นดอกเห็ดทุกหัวมุมถนนในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกเหมือนแมคโดนัล แต่คนต่างชาติไม่รู้สึกอยากลิ้มลองแล้ว คงไม่มีประโยชน์ครับ
ทุกวันนี้คนต่างชาติรู้จักแต่ต้มยำกุ้ง ผัดไทย ทั้งๆ ที่อาหารไทยมีอีกมากมาย และหากได้เห็นกรรมวิธีการทำอาหารไทยจากสาวไทย ผมเชื่อว่าคนที่รู้จักอาหารเกาหลีจาก”แดจังกึม” ต้องลืมอาหารเกาหลี ฝันถึงแต่อาหารไทยจากแม่ครัวไทยที่อ่อนช้อยครับ
ถึงเวลาแล้วครับ ที่ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกัน หากต้องการสร้างแบรนด์ไทยให้รู้จักไปทั่วโลก และไม่ได้หยุดแค่รู้จัก แต่เป็นทางเลือกอันดับแรกในการตัดสินใจ และที่สำคัญในส่วนของภาครัฐด้วยกันเองคือ กระทรวงการต่างประเทศในฐานะผู้เปิดประตูโลก และกระทรวงวัฒนธรรมต้นเรื่องในการขายทุนทางวัฒนธรรม ที่ไม่ใช่แต่เฉพาะอาหารเท่านั้น ต้องร่วมพลังในการสร้างแบรนด์ไทย
หากเปรียบเทียบแบบหมัดต่อหมัดแล้ว ถือว่าประเทศไทยมีต้นทุนทางวัฒนธรรมมากมายกว่าประเทศคู่แข่งที่จ้องขายวัฒนธรรมหลายเท่า ด้วยเพราะความมีรากเหง้าของประเทศที่สะสมมานาน เพียงแต่การร่วมมือประสานของเจ้าของต้นทุนในแต่ละเรื่อง ยังหาได้ยากในสังคมไทย
ยังไม่สายครับ ที่จะปรับกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ใหม่ต่อการสร้างภาพลักษณ์ให้รู้สึกถวิลหา มากกว่าการยัดเหยียดจนเกิดปฎิกิริยาตอบกลับในเชิงลบ เพราะคนส่วนใหญ่ยังเชื่อในทฤษฎีที่ว่า “ของดีจริงทำไมต้องโฆษณา” ทั้งๆ ที่ในโลกของความเป็นจริงแบรนด์ที่ได้รับการนิยมยังต้องมีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อ “สร้างการตระหนักรู้” อยู่ตลอดเวลา
ผมคิดว่า “แดจังกึม” น่าเป็นทางออกที่ดีให้กับนโยบายครัวโลกของรัฐบาลครับ
ลองทุ่มเงินอีกสักก้อน สร้างหนังไทยที่บอกถึงตำนานอาหารไทยที่แม้แต่คนไทยด้วยกันเองยังไม่รู้ ถึงวันนั้นอย่าว่าแต่ชาวต่างชาติอยากชิมอาหารไทย แม้แต่เด็กโจ๋ตาดำ หัวแดง สัญชาติไทยอาจเปลี่ยนใจมาแฮงค์ตามร้านส้มตำไทยก็ได้ครับ
ผมพอจะนึกถึงพล็อตเรื่องคร่าวๆ จากกาพย์เห่เรือ เห่ชมเครื่องคาวของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่เคยท่องสมัยละอ่อนครับ
มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
ยำใหญ่ใส่สารพัด วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ

สังเคราะห์ภูมิปัญญานายห้างเทียม(ตอน1 )

นายห้างเทียม โชควัฒนา ไม่เพียงเป็นตำนานมังกรค้าปลีก ผู้สร้างอาณาจักรค้าปลีกไทยที่ใหญ่โตโอฬาร ทว่ายังเป็นปรมาจารย์การตลาด ผู้ไม่เคยเรียนเอ็มบีเอ ทว่าเอ็มบีเอทั่วไทยต้องศึกษาจาก “คำสอนจากนายห้างเทียม”
ซึ่งนายห้างเทียมจดบันทึกประสบการณ์ไว้คนรุ่นหลังอ่าน
คำสอนจากนายห้างเทียม คลาสสิก ทันสมัย
และจากการศึกษาคำสอนของนายห้างเทียมแล้ว ตรงกับปรัชญาและกลยุทธ์ธุรกิจจากโลกตะวันตก
ผมจะวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็นตอนๆไป
โดยเริ่มจาก
แค่หยุดอยู่กับที่ ก็กลายเป็นผู้ล้าหลัง
คนที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีการศึกษาสูง คนที่การศึกษาสูง เรียนสูงๆ ปริญญาโท. ปริญญาเอก, เรียนหลังปริญญาเอก (Post Doctor) ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ แต่โอกาสของเขาก็จะมี…
คนที่ไม่ได้เรียนสูงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีสติปัญญา ความรู้
…นางห้างเทียม โชควัฒนา เป็นตัวอย่างหนึ่ง
คุณเทียม โชควัฒนา มอบคำคมไว้ให้กับสังคมมากมาย
“ปรัชญาของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จมักจะกล่าวกันว่า นักธุรกิจนั้นต้องเป็นคนของวันพรุ่งนี้ เพราะเพียงแต่เขาเป็นคนของวันนี้ อะไรๆ มันก็สายไปเสียแล้ว”
คนของพรุ่งนี้เป็นคนอย่างไร?
คุณเทียม บอกว่า คนของพรุ่งนี้ต้องเป็นคนทันสมัย
คำว่าทันสมัยนั้นคือ ท่านจะต้องรู้จักอินเตอร์เน็ต เล่นคอมพิวเตอร์เป็น เข้าเว็บไซต์เป็น ฯลฯ
คุณเทียมเคยเล่าว่า ช่วงนั้น หนังกลางแปลงเป็นที่นิยม ลูกน้องที่ทำการตลาดบอกว่าจะทำการตลาดผ่านหนังกลางแปลง คุณเทียมพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “คิดดี ตอนนี้เริ่มกระจายแล้ว คนออกจากบ้านน้อยลง หนังกลางแปลงอาจจะไม่สำเร็จเหมือนปีก่อนๆ ที่เราเคยทำ”
คนทันสมัยไม่พอ…ต้องเป็นคนทันโลก
คนทันโลกเป็นคนอย่างไร?
…เป็นคนที่รู้จักโลกาภิวัตน์หรือไม่
…หนังสือที่โลกเขาอ่านกัน อ่านหรือไม่
…รายการทีวีระดับโลก ดูหรือไม่
…ข่าวที่โลกรับรู้กัน ทราบหรือไม่
ทันโลกต้อง “อย่าหยุดนิ่ง” มีสายตาที่มองการณ์ไกล มีวิสัยทัศน์ นั่นคือมองในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น หาทางก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ สร้างอาณาจักรที่ทำให้ผู้อยู่ข้างหลัง ยากจะตามทัน
ความหมายตรงนี้ก็คือ ท่านจะต้องวิ่งเร็วกว่าคนอื่น
ถ้าท่านเป็นกวาง การที่ท่านจะอยู่รอดได้ ท่านจะต้องเป็นกวางที่วิ่งเร็วกว่าเสือ หรือสิงโตที่วิ่งเร็วที่สุด แต่ถ้าท่านเป็นเสือ หรือเป็นสิงโต ท่านจะต้องวิ่งเร็วกว่ากวางที่ช้าที่สุด
ท่านลองคิดดูว่าประเทศไทยเป็นกวาง หรือเป็นสิงโต?

เคล็ดความสำเร็จ 2007

ปี 2007 จะเป็นปีแห่งความยากลำบากเป็นแน่แท้
รัฐบาลและคมช.เผชิญศึกนอกและศึกในรุมกระหน่ำรอบด้าน
ความขัดแย้งภายในหมู่ผู้มีอำนาจปะทุออกมาให้เห็นอยู่เนืองๆ
ขณะเดียวกันมาตรการหลายอย่างที่ออกในรัฐบาลชุดนี้ ไม่ช่วยให้ก่อให้เกิดความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ยังไม่ต้องพูดถึงพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ที่ทำให้ต่างด้าวที่เป็นนอมินีต้องเน้นปรับโครงสร้างการลงทุนขนานใหญ่
ในด้านการเมืองนั้น ความขัดแย้งภายในกันเอง คลื่นใต้น้ำจากอำนาจเก่า กลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ ตลอดจนการเดินเกมในต่างประเทศของทักษิณ ทำให้ดูเหมือนบ้านเมืองไม่สงบ
ก็จะสงบได้ไงในเมื่อปีใหม่มีเหตุลอบวางระเบิดกลางเมือง 8 จุด
สถานการณ์เช่นนี้ ภาคธุรกิจเหนื่อยสุด เพราะพยากรณ์อะไรไม่ได้เลย จึงไม่แปลกที่หันไปหาหมอดูกันเยอะเหลือเกิน
สภาพเช่นนี้ ผมจึงนำเฟ้นหา “เคล็ดความสำเร็จ 2007” จากนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ(ถอดความ) โดยตั้งคำถามว่า “ถ้าจะประสบความสำเร็จในปีนี้ ต้องทำอย่างไร”
ซิกเว่ เบรกเก้ ตอบว่า “ คน คน และคน เท่านั้น”
สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล ตอบว่า “ความเรียบง่าย ความเร็ว ความยืดหยุ่น”
ตัน โออิชิ รายละเอียดอาจแตกต่างกว่าสรรค์ชัย ทว่าหัวข้อคล้ายๆกัน
อ.ไพบูลย์ สำราญภูติ ชี้ไปที่ปัจจัยทางการเมือง
ขณะที่วิเชียร เมฆตระการ บอกว่า “ร่วมแรง ร่วมใจให้บริการลูกค้าให้ดีที่สุด
ขยันมากขึ้น ใช้จ่ายอย่างประหยัด อดทน อดกลั้น ในทุกสภาวะที่บีบคั้น แล้วในที่สุด ความสำเร็จจะเป็นของเรา”
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ คงยังเคืองไม่หายชี้ว่า “อย่าอยากได้ของที่ไม่ใช่ของของเรา”
ในด้านต่างประเทศนั้น ผู้บริหารกูเกิ้ลเน้นความเรียบง่าย
ขณะที่ริชาร์ด แบรนสัน แนะว่า “ปฏิเสธให้เป็น”
ส่วนโดนัล ทรัมพ์ ฟันธงว่า “อย่าหมกมุ่นกับปัญหา ให้หาคำตอบ”
ยูนุส เจ้าของรางวัลโนเบล คนล่าสุด บอกว่า “when you’re trying to solve a problem, always bring it back to the simplest formulation.”
เจ้าของ Starbucks บอกให้กล้าที่จะเป็น SOCIAL ENTREPRENEUR
ยังมีผู้นำและนักธุรกิจอีกมากมายที่แนะให้คำแนะนำที่พลาดไม่ได้
ถ้าไม่อยากเหนื่อยในปีนี้

Mind Set! : อนาคตได้ฝังอยู่ในปัจจุบันแล้ว

แม้จะมีการพูดกันอย่างมากๆในระยะหลังมากว่า อนาคตไม่ได้เชื่อมกับปัจจุบัน
เพราะโลกไม่ได้เป็นเส้นตรงอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ปัจจุบันจะไม่ได้ส่งผลถึงอนาคตเอาเสียเลย
เนสบิตต์คิดว่าปัจจุบันกันอนาคตไม่เพียงเชื่อมต่อกันเท่านั้น ถึงขนาดใช้คำว่า “ฝัง” เอาไว้เลยทีเดียว
คำแนะนำก็คือจำไว้ว่าเมื่อเราจะโฟกัสในสิ่งที่ฝังอยู่ในปัจจุบันนั้น จงหาจุดตั้งต้นในการพิจารณาให้ดี อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ฝังในปัจจุบันเท่านั้นที่จะนำไปสู่อนาคต
การที่จะอ่านปัจจุบันเพื่อทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำนั้น จำเป็นต้องถอยห่างจากเหตุการณ์ อยู่ในระยะที่เหมาะสม

การมองป่าทั้งป่าได้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะเห็นต้นไม้ทุกต้นได้

ถ้าจะเห็นเหตุการณ์ในโลกได้อย่างแจ่มแจ้ง ต้องมองหาระยะที่ไม่ใกล้ และไม่ไกลจนเกินไป
ถ้าเข้าจนใกล้จนเกินไป ก็จะทำให้ถูก “กระแส” ครอบงำจนมุมมองไม่เฉียบคมอีกต่อไป
“กระแส” โดยตัวมันเองก็จะถูกฝังอยู่ใน trend เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนย้าย trend ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่กระแสหรือแฟชั่นที่ฝังอยู่ใน trend นั้นจะ Inspire การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ดังนั้นในการสะสมข้อมูลข่าวสารนั้น ปริมาณข้อมูลไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่วิธีการรับข้อมูลต่างหากเป็นสิ่งสำคัญ

กระบวนการเลือกและ Verify ข้อมูล เราสามารถพบองค์ประกอบวสำคัญที่จะต่อภาพไปสู่อนาคตได้

Good Boss, Bad Boss

ถ้าไปถามนักธุรกิจทั่วโลกว่าใครเป็น Guru ในดวงใจ
จำนวนมากต้องตอบว่า ปีเตอร์ เอฟ.ดรักเกอร์
แต่ถ้าไปถามว่าใครคือนักมืออาชีพที่น่าสนใจใคร่ติดตาม
ผมเชื่อว่าชื่อแจ็ค เวลส์ คงหลุดจากปากซีอีโอทั่วโลกนับไม่ถ้วนทีเดียว
แม้เขาจะลงจากตำแหน่งซีอีโอไปนานถึง 5 ปีแล้วก็ตาม
เวลส์และภรรยาของเขา ซูซี่(ซึ่งเป็นอดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Harvard Business Review) มาเขียนตอบคำถามหน้าสุดท้ายของนิตยสาร BusinessWeek ในคอลัมน์ The Welch Way ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง
จดหมายที่ถามแจ็ค เวลส์ นั้นมาจากทั่วทุกสารทิศ อเมริกา ยุโรป เอเชีย อาฟริกา
แจ็คก็ตอบคมเหลือเกิน ยิ่งได้ศรีภริยาซึ่งเป็นอดีตบรรณาธิการมือดีมาช่วยตอบด้วยแล้ว อย่าได้พลาดสักฉบับทีเดียวเชียว
มีคำถามหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจ
เขาถามว่า “ควรจะทำงานกับนายดี ในบริษัทที่กำลังแย่ หรือทำงานกับนายเลว แต่บริษัทกำลังรุ่งเรือง”
ก่อนอื่นมาดูคำจำกัดความของนายที่ดี และนายที่เลวเสียก่อน
นายที่ดีนั้นทำให้การทำงานสนุก
Making work Fun ก็หมายความว่า การทำงานก็เหมือนกับไม่ทำงาน เมื่อใดตามที่ลูกน้องทำงานด้วยความสนุก แต่ถ้าไม่ enjoy กับการทำงานเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าผลงานออกมาแบบดีแน่นอน
นายที่เลวนั้นตรงกันข้ามกับนายที่ดี
ผมนั้นเคยเจอนายเลวมาก็มาก นายที่ดีก็มี
นายเลวนั้น บทจะเลว ก็เลวสิ้นดี คุณพิชัย editor-in-chief ก็รู้จักดีเพราะเผชิญความเลวของคนๆนี้ไม่เหมือนกัน
นายเลวนั้นส่วนใหญ่จะเข้าใจวัฒนธรรมองค์กร
วัฒนธรรมองค์กรนั้นก็คือ “หลักยึด” ที่มองไม่เห็น
ใครก็ตามที่กลมกลืนกับวัฒนธรรมองค์กรได้
ก็จะอยู่ยั้งยืนยง
การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรนั้น ใช่ว่าทำไม่ได้
ขึ้นอยู่กับว่า “คุณเป็นใคร”
ถ้าคุณเป็นผู้นำองค์กร ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะคุณนั่นเองแหละที่เป็นผู้กำหนดวัฒนธรรม ซึ่งก็คือวัฒนธรรมการทำงานนั่นเอง
นายที่เลวนั้นคือนายที่ทำงานด้วยแล้วไม่สนุก
อยู่ด้วยแล้วอึดอัด จะทำอะไรก็ไม่เป็นธรรมชาติ ได้แต่ภาวนาให้เวลาหมดไปวันๆ
นายเลวนั้นชอบบี้ลูกน้อง ไม่สอน เอาแต่ใจตนเอง
ขณะที่นายดีจะช่วยลูกน้อง ปกป้องลูกน้อง ทำตัวเหมือนเพื่อนเก่าที่หายไปนาน
และพฤติกรรมของนายดีแบบนี้ จะทำให้นายอยู่ยาก หากลูกน้องไม่แสดงผลงาน
เพราะนายดีจะอ้าแขนปกป้องลูกน้อง จนในที่สุดถูกการเมืองในองค์กรเล่นงาน
แจ๊ค เวลส์ ให้คำแนะนำในช่วงท้ายว่า
“ถ้าองค์กรดีจริง ถึงจะมีนายเลว ก็ขอให้อดทนไว้ เพราะนายเลว สุดท้ายก็เปลี่ยนได้”

Zara สำเร็จได้อย่างไร

“ZARA” ซึ่งเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ประสบความสำเร็จมาก
แบรนด์ดังๆ ของโลก มักจะเป็นแบรนด์ ดีไซน์เนอร์
ซึ่งเกิดจากการที่มีดีไซน์เนอร์คนนึง กำหนดแบบ กำหนดเทรนด์ออกไป แล้วทำเสื้อผ้าออกขาย…
แต่ซาร่าไม่ได้ทำเช่นนั้น
ซาร่าไม่ได้เป็นต้นกำเนิดในการคิดค้นรูปแบบเสื้อผ้าอะไรเลย
เขาอาศัยดูว่าตามแคทวอล์กมีเสื้อผ้ายี่ห้อไหน เดินบ้าง มีแบบใหม่ๆ อะไรน่าสนใจบ้าง…
ดึงแบบตรงนั้นออกมา แล้วก็นำออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด
อันนี้คือไอเดียหลักของซาร่า ที่เอารูปแบบเสื้อผ้าที่คนนิยม
…แปลงออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด
บ่อเกิดความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในการทำธุรกิจนั้นมีอยู่ 2 บ่อเกิด
หนึ่ง…เรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้าให้เร็วกว่าคู่แข่ง
สอง…นำสิ่งที่เรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้านั้นมาลงสู่ภาคปฏิบัติให้เร็วกว่าคู่แข่ง
และนี่ก็คือเคล็ดลับของ “ZARA”
“ZARA” เป็นแบรนด์ของสเปน
พูดถึงเสื้อผ้า เราคิดถึงฝรั่งเศส คิดถึงอิตาลี แต่ไม่มีใครคิดถึงสเปน
เพราะฉะนั้นการที่ ซาร่าประสบความสำเร็จได้ทั้งๆ ที่เป็นแบรนด์จากสเปน แสดงว่าต้นสังกัดของประเทศไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
ประเทศไทยก็สามารถที่จะเป็นเมืองแฟชั่นได้ แต่ไม่ใช่ไปขึ้นรถบุปชาติ แล้วก็กระโดดโลดเต้นอยู่บนรถสิบล้อ
…อย่างนั้นเกิดไม่ได้
การที่ซาร่าจากประเทศสเปนประสบความสำเร็จมาก มันก็ได้บ่งบอกว่า แบรนด์จากประเทศไหนนั้นไม่สำคัญแล้ว
คุณจะอยู่ประเทศไหนก็ตามแต่ หากว่าคุณมีโมเดล หรือรูปแบบการทำธุรกิจที่ดี
คุณอาจจะประสบความสำเร็จได้
ซาร่า เป็นแบรนด์ของสเปน ซึ่งแต่เดิมธุรกิจของซาร่าเป็นธุรกิจที่ทำด้านสิ่งทออยู่แล้ว แต่เขาคิดค้นวิธีให้แบรนด์ซาร่ามีรูปแบบทางธุรกิจที่ต่างจากสิ่งทอที่เขาเคยทำมา
เขามองว่า จริงๆ แล้วคนอยากได้เสื้อผ้าที่มีดีไซน์ แต่ว่าใส่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
…โจทย์ของเขาก็เลยเป็นการมองหาแรงบันดาลใจที่ได้จากเสื้อผ้าจากดีไซน์เนอร์ต่างๆ ที่เดินบทแคทวอล์ก
แล้วแปลงออกมาในรูปแบบที่ผู้คนต้องการ
ในเวลาที่รวดเร็วที่สุด..
ในราคาที่ทุกคนซื้อได้…
ลักษณะเช่นนี้อาจเรียกว่าเป็น Fast Fashion ก็ได้…
นั่นคือจากขั้นตอนแรกตั้งแต่การออกแบบ มาจนถึงวางขายในร้านนั้น ใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์
ในขณะที่อุตสาหกรรมแฟชั่นโดยปกตินั้น ต้องใช้เวลา 8 สัปดาห์ ซึ่งใช้เวลามากกว่าซาร่าถึง 4 เท่า
ถ้าจะให้เห็นกระบวนการของซาร่านั้น เราจะเริ่มเห็นได้จากทีมของเขา ซึ่งมีทีมออกแบบอยู่จำนวนมากที่สำนักงานใหญ่
จากนั้นก็มีทีมงานไปสังเกตที่งานแคทวอล์กใหญ่ๆ
เมื่อเขาได้ไอเดียมาก็จะปรึกษากับผู้จัดการสาขาของร้านค้าปลีกของซาร่า ซึ่งเขาจะรู้ว่าแบบไหนขายดี แบบไหนขายไม่ดี
และก็ตัดสินใจร่วมกันว่าจะผลิตแบบใดขึ้นมา
ต่อจากนั้นก็เริ่มผลิตต้นแบบด้วยคอมพิวเตอร์ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วก็จะกระจายแบบออกไปตามเครือข่ายการผลิตซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในประเทศสเปน
และก็ส่งกลับเข้ามาเพื่อพะยี่ห้อลงไปเป็นรายละเอียดสุดท้าย ก่อนที่จะมีการกระจายเสื้อผ้าออกจากศูนย์การกระจายสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ซึ่งใช้เวลาตั้งแต่ขั้นตอนแรกจวบจนกระบวนการสุดท้ายนั้นเพียง 15 วันเท่านั้นเอง
ซาร่าจะไม่ใช้วิธีการโฆษณา
งบประมาณในการทำการตลาดของซาร่านั้นส่วนใหญ่จะลงไปที่การหาทำเลของร้านค้าที่ดีที่สุดในย่านแฟชั่นของประเทศต่างๆ และก็จ่ายไปตรงนั้น
และตกแต่งร้านค้าอย่างดี เพื่อให้เกิดการตลาดแบบ “ปากต่อปาก” ขึ้นเอง
ลักษณะแบบของสินค้า “ซาร่า” นั้นจะเหมือนกับสินค้าของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก
ซึ่งราคาสินค้าของแบรนด์ชั้นนำระดับโลกนั้น คนเดินดินคงจะหาซื้อได้ลำบาก
ซาร่าก็ไปแกะแบบพวกนั้นมาแล้วปรับเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มีปัญหาด้านลิขสิทธิ์
คนอื่นก็จะ outsourcing ไปที่จีน
แต่ซาร่าไม่ทำ เพราะคิดว่าหากทำแบบนั้นจะมีปัญหาด้าน Logistic
มีปัญหาเรื่องของการจัดส่ง
เขาจึงกระจายแต่เพียงในสเปน ให้นักออกแบบในสเปนทำ
ในโลกของอุตสาหกรรมแฟชั่นนั้น “ความเร็ว” ในการออกตัวสินค้าเป็นปัจจัยตัวหนึ่งในการกำหนดความสำเร็จ
สินค้าแฟชั่นของแบรนด์ชั้นนำของโลกต้องใช้เวลา 2 เดือนซึ่งถือว่าช้ามาก
เพราะฉะนั้นหากเราจะไปแข่งกับแบรนด์ชั้นนำเหล่านี้เราต้อง…
…ทำให้เร็วกว่า
…ทำให้ถูกกว่า
แบรนด์ระดับโลกนั้นอาจจะใส่เดินถนนไมได้ แต่ว่าแบรนด์ ซาร่าสามารถที่จะใส่เดินถนนได้
เพราะฉะนั้นแบรนด์ “ซาร่า” ซึ่งเป็นแบรนด์อะไรก็ไม่รู้สามารถ “เกิด” ขึ้นมาได้เลย

Innovation is not enough

ในบรรดาหัวใจทางความคิดของเหล่าปรมาจารย์ทางการจัดการและกลยุทธ์ที่นำเสนอในหนังสือ “คิดใหม่เพื่ออนาคต”(Rethinking The Future) นั้น การสร้างนวัตกรรมถือว่ามีความสำคัญอยู่ในอันดับหนึ่ง
ไมเคิล อี.พอร์เตอร์ กูรูกลยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดของโลกในรอบสามสิบปีกล่าวว่าหนึ่งในความได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21 คือความได้เปรียบทางนวัตกรรม(Innovation Advantage)
นวัตกรรมโยงใยกับทิศทางด้านกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง นวัตกรรมที่กำลังดำเนินอยู่จำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์เชิงยุทธ์ด้วย
แกรี่ ฮาเมล กูรูกลยุทธ์รุ่นใหม่ที่มาแรงที่สุดกล่าวว่าการ invent อนาคตใหม่ด้วยจินตนาการนั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของผู้นำองค์กร แต่ทว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ของคนที่ล้อมรอบซึ่งผู้นำมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
ปีเตอร์ เอฟ.ดรักเกอร์ อภิมหาปรมาจารย์เจ้าของฉายา “บิดาแห่งการจัดการ” เขียนบทความ Innovation or Die อีกครั้งหลังจากเขียน Innovation and Entrepreneurship เมื่อหลายทศวรรษก่อน
ดูเหมือนว่าโลกธุรกิจจะถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ก่อนที่ “จิวยี่” จะรากเลือดตายในเรื่องสามก๊กนั้น เขาได้กล่าวอมตะวาจาประโยคหนึ่งว่า “ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนให้ขงเบ้งมาเกิดด้วยเล่า”
หากจะปรับให้เข้ากับท้องเรื่องของบทความชิ้นนี้ก็คือ “ฟ้าให้กำเนิดนวัตกรรม ไฉนอุ้มบุญ CopyCat ออกมาด้วยเล่า”
ดูเหมือนวัตกรรมคือจุดสูงสุดของธุรกิจ บริษัททั้งหลายทั้งปวงจึงมุ่งเน้นในการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำไปสู่นวัตกรรม เลสเตอร์ ทูโรว์ เขียนใน “คิดใหม่เพื่ออนาคต” ว่าเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีอัตรา GDP เฉลี่ยต่อหัว 30-40%ของเนเธอร์แลนด์เท่านั้น แต่ทว่าเกาหลีใต้ลงทุนด้าน R&D ในอัตราส่วนที่มากกว่าเนเธอร์แลนด์ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเกาหลีใต้จึงเป็นประเทศที่อุมด้วยนวัตกรรมและก้าวไปสู่แถวหน้าของเอเชียในปัจจุบัน
แต่นวัตกรรมไม่ได้ดำรงอยู่ได้นาน เปรียบเสมือน “กระดานหมากล้อม” เมื่อมีหมากขาวก็ย่อมต้องมีหมากดำ มีนวัตกรรมก็ต้องมีผู้ลอกเลียนแบบหรือ Copy Cat
BusinessWeek เรียกเศรษฐกิจที่มีการลอกเลียนแบบเป็นสรณะว่า Copy Cat Economy
เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้การก๊อปปี้ง่ายเพียงชั่วข้ามคืน
Entry Barrier ในการก้าวเข้าสู่ชมรม Copy Cat แทบจะกลายเป็นศูนย์
คำถามที่น่าสนใจก็คือแล้วจะสร้างนวัตกรรมกันไปทำไม เพราะนวัตกรรมในด้านหนึ่งก็คือความสุ่มเสี่ยงต่อความล้มเหลวและต้นทุนมหาศาลที่ลงไปก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้
สู้ปล่อยให้องค์กรที่คลั่งไคล้ไหลหลงนวัตกรรมทุ่มเทงบประมาณกับ R&D และทดลองตลาดไปให้เห็นว่าประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนแล้วค่อยกระโดดไปก็ไม่สาย
ในแง่นี้ Copy Cat ย่อมเป็นคำตอบสุดท้าย
เมื่อ SONY ประกาศส่งนวัตกรรมจอแบนลงสู่ตลาดเมื่อสองปีก่อนนั้นเป็นที่ฮือฮามากเพราะ SONY ใช้ทั้งราคาและนวัตกรรมไล่ขยี้คู่แข่งจมเขี้ยว แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ทีวีทุกแบรนด์กลายเป็นจอแบนไปทั้งหมด
SONY จึงต้อง Innovate อีกครั้งด้วยการออกจอแบนแบบใหม่ที่เฉียบคมด้วยดีไซน์และคมชัดมากกว่าแบรนด์อื่นๆ
แต่ SONY จะนำหน้าไปได้สักกี่เดือน
เช่นเดียวกับฟอร์ดปิ๊กอัพรุ่นตู้กับข้าวที่เปิดได้สี่ประตูที่นำหน้าเหนือกว่าปิ๊กอัพแบรนด์อื่นที่ยังตามไม่ทัน
แต่ฟอร์ดจะนำหน้าในฐานะ Innovator อยู่ได้กี่เดือน
ซึ่งก็หมายความว่า Innovation is not enough
เพราะทุกบริษัทต่าง Innovate กันหมด
Copy Cat ก็ลุยลอกกันชั่วข้ามคืน
อย่างนั้นอะไรคือคำตอบสุดท้าย
อัล รีย์ กล่าวไว้ในคิดใหม่เพื่ออนาคต ว่าต้องสร้างแบรนด์ผูกขาดไร้คู่แข่งขัน
เฉกเช่นที่ไมโครซอฟท์ทำได้กับ Window
เพียงแต่ว่าการผูกขาดยุคนี้ทำได้ไม่ง่าย
แต่ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้เลย!!!

Youth + Creativity

Youth + Creativity
ข้อคิดจากบอลโลก

แม้ทีมชาติสเปนจะสร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกที่ทีมจากทวีปยุโรปสามารถคว้าแชมป์นอกทวีปได้เป็นครั้งแรก
และเป็นทีมที่แพ้ในรอบแรกทีมเดียวที่คว้าแชมป์โลกได้
แต่ทว่าทีมที่ชิงซีนไปในทัวนาเม้นต์นี้ในความเห็นของผมก็คือเยอรมันและหมึกของเยอรมัน
สเปนนั้นเป็นเต็งหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้น การได้แชมป์โลกนั้นก็สมควรแล้ว(ทั้งที่ยิงประตูได้น้อยเหลือเกิน) แต่เยอรมันชุดนี้ไม่ได้มีใครตั้งความหวังอะไรมากนัก อย่าว่าแต่แฟนบอลเยอรมันเลย กระทั่งชาวเยอรมันเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
ดังนั้นเมื่อผลการแข่งขันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่บดอังกฤษ คู่แค้นตลอดกาลไปได้ 4-1 ทั้งๆที่ทีมสิงโตคำรามเต็มไปด้วยซุปเปอร์สตาร์อย่างเวย์น รูนี่ แลมพาร์ต เจอร์ราด เทอร์รี่ โคล
โลกต้องหันกลับมามองเยอรมันอีกครั้ง แต่ก็คิดว่าอังกฤษกับเยอรมันคู่นี้ใครชนะก็ต้องไปถูกอาร์เจนตินาเชือดอยู่ดี
เมื่อเยอรมันช็อกโลกอีกครั้งด้วยการบดอาร์เจนตินา ถึง 4-0
โลกต้องกลับมามองเยอรมันอีกครั้ง พร้อมๆกับมองหมึกพอล ผู้ทำนายผลบอลครั้งใดแทบไม่เคยพลาด(นัดเดียวที่ทายผิดก็คือนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเมื่อสองปีที่แล้ว)
ชัยชนะของเยอรมันซึ่งไม่ได้มีสตาร์ดังคับทีมอย่างอังกฤษและอาร์เจนตินา ทั้งๆที่นักเตะวัยละอ่อนเต็มทีม แทบไม่มีซุปเปอร์สตาร์แม้แต่คนเดียว(แต่ระดับสตาร์มีนะ)
สะท้อนให้เห็นว่าโลกธุรกิจยุคนี้จะให้ความสำคัญกับ Youth มากกว่าประสบการณ์
กานาซึ่งเกือบจะเข้ารอบสี่ทีมสุดท้ายก็มีนักเตะอายุน้อยเต็มทีม เพราะสร้างทีมจากชุดเยาวชนโลก
ไม่ต้องพูดถึงสเปนที่ให้ความสำคัญกับการสร้างนักเตะรุ่นใหม่ๆเพื่อทดแทนรุ่นเก่าอยู่ตลอดเวลา
ในโลกธุรกิจ ผู้ประกอบการที่เปลี่ยนโลกล้วนเป็นคนหนุ่มวัยละอ่อนแทบทั้งสิ้น
Larry Page and Sergey Brin แห่ง google
ล้วนเริ่มต้นธุริจในวัยยี่สิบต้นๆเท่านั้น แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้คิดจะเป็นเพียงผู้ประกอบการสามัญเพื่อสร้างความมั่งคั่งเท่านั้น
แต่พวกเขาเหล่านี้ต้องการเปลี่ยนโลก
Mark Zuckerberg แห่ง FaceBook
Michael Dell แห่ง Dell
Steve Jobs แห่ง Apple
Bill Gates แห่งไมโครซอฟท์
หลังจากสตีฟ จ๊อบส์ สร้าง Apple Computer จยลงหลักปักฐานพร้อมที่จะบินแล้ว เขาได้ไปชวน John Sculley ซึ่งในเวลากำลังจ่อคิวจะขึ้นเป็น CEO Pepsi และเอ่ยปากชวนด้วยประโยคสะท้านโลกว่า “ Do you want to sell sugar water for the rest of your life or do you want to come with me and change the world?”
ประโยคนั้นแทงใจดำ Sculley แต่ก็ทำให้เขาคิดหนัก สุดท้ายเขาก็มาร่วมเปลี่ยนโลกกับสตีฟ จ๊อบส์จนได้
ซึ่ง Sculley นี่แหละที่ถีบจ๊อบส์ออกไปจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ตอนแรกจ๊อบส์แค้นมาก ต่อเขาก็ได้ตระหนักในสัจธรรมแห่งชีวิต และพบว่าเมื่อ Connect the dot แล้ว เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
และเมื่อกลับมา Apple อีกครั้ง งานของจ๊อบส์ก็ยังเหมือนเดิม นั่นคือ “เปลี่ยนโลก” ด้วย iPod iPhone และ iPad
เช่นเดียวกับสองผู้ก่อตั้ง Google เช่นกัน พวกเขาทั้งสองกำลังเปลี่ยนโลกด้วย Search Engine และสารพัดบริการฟรีที่ออกมาทุบหม้อข้าวคู่แข่งขัน แต่ผู้บริโภคได้ประโยชน์
ขณะที่ Mark Zuckerberg ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพ่อหนุ่มคนนี้กำลังทำให้ Facebook ได้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว
โลกกำลังแบ่งออกเป็นสองยุค คือยุคก่อนมี facebook และยุคหลังมี facebook
สำหรับบางคน Facebook เป็นยิ่งกว่าSocial Network
มันคือ Way of Life

สมการความสำเร็จของยุคนี้ก็คือ Youth + Creativity + Think BIG = Change The World

Before start trading

ไม่ใช่เซียนหุ้น ไม่ได้เล่นหุ้นเป็นอาชีพ ไม่ได้มีอาชีพเกี่ยวกับหุ้น แต่หงษ์สามย่านชอบที่จะศึกษาเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง ประสบการณ์จะสอนเรา มีคำกล่าวว่า “เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด” ประโยคนี้ยังคงใช้ได้ดีเสมอมาทุกยุคทุกสมัย ผมไม่อาจจะโอ้อวดตัวเองว่าเป็นผู้รู้ ช่ำชองในทุกๆ เรื่อง แต่ผมยินดีที่จะถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองต่างๆ เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจได้เข้ามาศึกษาแลกเปลี่ยนมุมมอง แลกเปลี่ยนความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ และนี่เป็นโอกาสดีสำหรับท่านที่เพิ่งจะเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆ ครับ เพราะผมเองต้องการถ่ายทอดมุมมองง่ายๆ ในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะเล่นหุ้นซี่งสำคัญมาก ดังคำกล่าวที่ว่า “เริ่มดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” เรามาเริ่มกันเลยครับ
สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนสำหรับผมใช้หลักการง่ายๆ ดังนี้ครับ
PPLI = สอง P หนึ่ง L หนึ่ง I
1.Philosophy (ปรัชญา) คืออะไร?
2.Psychology (จิตวิทยา) คืออะไร?
3.Logic (ตรรก) คืออะไร?
4.Imagination (จินตนาการ) คืออะไร?
1.Philosophy (ปรัชญา) คืออะไร?
Philosophy มาจากคำสองคำในภาษากรีกครับ คือคำว่า…
PHILOS แปลว่า ความรัก (LOVE)
และคำว่า…SOPIES แปลว่า ความรู้ (KNOWLEDGE) ความรู้นี้ต้องสามารถพัฒนาไปเป็น ปรีชาญาณ (WISDOM) ดังนั้น “ปรัชญา” จึงแปลอย่างง่ายๆ ในมุมมองของหงษ์…แปลว่า ความรักในความรู้ ก่อนอื่นเราจะรู้ได้ เราต้องมีความรักในสิ่งที่อยากรู้ก่อน เมื่อเรารักที่จะรู้แล้ว ความรู้นั้นๆ ก็ไม่ยากสำหรับการเรียนรู้อีกต่อไป เมื่อเรารู้แล้ว ความรู้นั้นไม่ควรเป็นแค่ความทรงจำ แต่ต้องพัฒนาไปเป็นความรู้ที่รู้แจ้ง เห็นจริง กลายเป็น SKILL อยู่ในตัวเรา เห็นปุ๊บรู้ปั๊บอย่างช่ำชอง
***ปรัชญาหุ้น ไม่ยากเลย ไม่ต้องไปมัวเสียเวลาดูเทคนิคขั้นเทพที่ไหน ขอให้เข้าใจคำว่า “ปรัชญา” ที่แท้จริงว่าคืออะไร?…ก็เริ่มต้นได้ดีแล้วครับ
2.Psychology (จิตวิทยา) คืออะไร?
จิตวิทยา เป็นเรื่องความรู้เกี่ยวกับจิตใจครับ…ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าตัวเราเองมีจิตใจ บุคลิคลักษณะนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ใจเย็น ใจร้อน วู่วาม ฯลฯ เราก็คน เขาก็คน กองทุนก็มีคนคอยบริหาร บักสีดาก็เป็นคน เจ้ามือก็เป็นคน ในตลาดหุ้นคนเล่นหุ้นทุกคน เป็นคน ไม่มีใครเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น จะไปกลัวอะไรกับคนเหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนอื่น เราต้องรู้จักตัวเองก่อน เมื่อเรารู้จักตัวเองแล้ว เราก็จะเรียนรู้ที่จะทำความรู้จักกับคนอื่นๆ กองทุน บักสีดา เจ้ามือ รู้ว่าเค้ามีวิธีการเทรดหุ้นอย่างไร รู้ว่าเมื่อไหร่เค้าจะซื้อ หรือ จะขาย เมื่อเรารู้เขาแล้ว ก็ไม่อยากที่จะเอาชนะเขาได้ รู้เขารู้เรา…
3.Logic (ตรรก) คืออะไร?
ตรรก คือ ความเป็นเหตุและเป็นผล ซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน…จะเป็นเหตุผลที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องนั้นแล้วแต่ แต่พื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่ จะมีเหตุและผล เราถูกสอนมาให้นับ 1 2 3 4 5 X… มันคือเหตุและผล น้อยคนนักที่จะบอกว่า X คือเลข 7 คนส่วนใหญ่เกือบทุกคนจะบอกว่ามันคือเลข 6 นี่คือเหตุและผล แต่เพราะคนเราเป็นปัจเจกบุคคล คือ เราเป็นเรา เรา(ตัวเรา) ไม่ใช่สากล ดังนั้นเรารู้ว่าเกือบทุกคนมีเหตุและผล มันเป็นตรรก ตัวอย่างเช่น…
พ่อของนายเอมีลูกทั้งหมดห้าคนคนแรกชื่อ กา คนที่สองชื่อ ก่า คนที่สามชื่อ ก้า คนที่สี่ชื่อ ก๊า คนที่ห้าชื่อว่า…ไม่ต้องคิดมากเลยคนที่ห้าก็ต้องชื่อ ก๋า แต่ผิดถนัดครับคนที่ห้าชื่อ เอ ต่างหาก…นี่คือความเป็นเหตุและผลที่มีอยู่ในสมองของเราทุกคน
***เวลาเล่นหุ้นคนส่วนใหญ่จะบอกว่ามันจะวิ่งไปเท่าโน้นเท่านี้ หลายๆ คนก็เชื่อตามนั้น เพราะมีเหตุและผลที่จะทำให้หุ้นวิ่งมากมาย แต่สุดท้าย เหตุและผลนั้นๆ ก็ใช้กับคนส่วนใหญ่ไม่ได้ โดยเฉพาะกับนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ เพราะมันเป็นเหตุผลที่ผิด นี่คือ ตรรก ถ้าเข้าใจตรรกเราจะไม่ถูกรายใหญ่หลอก ครับผม…
4.Imagination (จินตนาการ) คืออะไร?
จินตนาการเป็นสิ่งสำคัญครับสำหรับการเล่นหุ้น…เพราะมันจะทำให้เราคิด มันคือการวางแผน มันคือการต่อยอดทางความคิด เราต้องรู้จักการจินตนาการ จินตนาการว่า…ถ้ามันเป็นแบบนี้ แล้วเราจะทำแบบนี้ ถ้ามันเป็นแบบนั้นแล้วเราจะทำแบบนั้น ถ้า Set มันวิ่งมาถึงตรงนี้แล้วเราจะทำอย่างนี้ ถ้า Set มันวิ่งลงมาถึงตรงนี้แล้วเราจะทำแบบนี้…ถ้า ถ้า ถ้า แล้วเราจะทำ แบบนี้ แบบนั้น แบบโน้น…และเราต้องทำตามจินตนาการของเรา เมื่อเราทำตามจินตนาการของเราและสำเร็จ เราต้องต่อยอดการจินตนาการไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีที่สุดสุด ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ – Continual Improvement (Infinity)
***เล่นหุ้นต้อง อย่ากลัวและอย่าโลภ
ใช้แนวทาง PDCA ในการพัฒนาการเล่นหุ้นให้ดีขึ้นเรื่อยๆ…
1.วางแผน PLAN
2.ทำตามแผน DO
3.ตรวจสอบสิ่งที่ได้ทำไป CHECK
4.พบข้อผิดพลาด หรือ ทำดีอยู่แล้ว ก็ต้องพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาด และ ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ACT
***เป็นวัฐจักร PDCA หมุนขึ้นไปหาเป้าหมาย…
สมมุติว่าเราวางเป้าหมายไว้ว่า จะต้องเล่นหุ้นให้ได้กำไรเดือนละไม่ต่ำกว่า 5%
5% คือเป้าหมาย เก็บข้อมูลเป็นกราฟง่ายๆ ก็ได้ครับ เป็น KPI สำหรับวัดผลตัวเราเอง
KPI = Key Performance Indicator

วิธีการเปิดบัญชีกับ Instaforex

วิธีการเปิดบัญชีกับ Instaforex
กดลิ้ง ที่นี่ www.instaforex.com เพื่อเปิดบัญชี
เลือกที่เมนู For Trader จากนั้นเลือก Open Live Account กดแล้วก็เลือก accept term of agreement
จากนั้นก็กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเราลงไป
Fullname:ชื่อ-นามสกุล
Birthday:วันเกิด
Address:ที่อยู่
City:อำเภอ
Province:จังหวัด
Postal Code:รหัสไปรษณีย์
Country: ประเทศ
Phone Number: +66 แล้วตามด้วยเบอร์ของเรา ไม่ต้องใส่ 0
Email: อีเมล
Password:ใส่เองหรือ Generate เอาก็ได้
Phone Password:ใส่เองหรือ Generate เอาก็ได้
Account Type: Standard
Trading Server Location: USD หรือ Singapore ก็ได้
Leverage: 1:1000
Account Currency :USD
Islamic Account (Swap-Free): ติ๊ก เพื่อให้ บัญชีของเราไม่ต้องการมี กำไรข้ามคืน
Subscript For analytics receipt: ติ๊ก เพื่อให้ทีมงานส่งบทวิเคราะห์ให้เราทางอีเมล
Affiliate Code : OET
จากนั้น ติ๊ก ที่ช่อง I agree with the public offer agreement แล้วก็ Open account
วิธีการเปิดบัญชี Instaforex

123 Sell Signal

123 Sell Signal
123 Sell Signal เป็นวิธีการเทรดที่ใช้ใน ตลาด Forex กันมากเพราะว่า ราคาขาลงมักจะแรงกว่าราคาขาขึ้น การเคลื่อนไหวของราคาขาลงส่วนใหญ่จะแรงกว่า ซึ่งสังเกตุง่ายๆก็จากทฤษฎีของ Elliott Wave คลื่นขาขึ้นมา 5 คลื่น แต่ขาลงมีแค่ 3 คลื่นแต่ราคาสามารถลงมาปิดคลื่นที่ 1 คลื่นขาลงได้
เทรดเดอร์โดยส่วนมากจะอาศัยเทรดเฉพาะทางเดียวเท่านั้น ซึ่งผมก็เหมือนกัน ในบางจังหวะก็รอที่จะ Sell มันอย่างเดียว เพราะมันสามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็ว ในบางครั้ง 5 นาทีก็สามารถเก็บได้ 100 กว่าจุด
123 Sell Signal เป็นวิธีการเทรดง่ายๆ เพียงแค่เราหา จุดที่ 1 จุดที่ 2 จุดที่ 3 ในเจอ เพียงเท่านี้เราก็สามารถเทรดได้แล้วครับ
1 2 3 Sell





จะเห็นว่ากราฟขาลงจะเคลื่อนตัวเร็วมาก ทำให้เราสามารถสร้างกำไรจาก 123 System ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจาก 123 Buy ซึ่งจะช้ามาก กว่าราคาจะขึ้นใช้เวลานานกว่า 123 Sell Signal

123 Tradings System

123 Trading system คือการหาสัญญาณ Buy และหาสัญญาณ Sell จากการนับคลื่นเป็น คลื่นที่ 1 คลื่นที่ 2 และคลื่นที่ 3
123 Tradings System จะประกอบด้วย
1. 123 Buy
2.123 Sell

เรามาดู 123 Buy กันก่อนนะครับ
หลักการของ 123 Buy ก็คือ จุดที่ 1 ต้องเป็นจุดที่ต่ำที่สุด จากนั้นราคาจะขึ้นมาทำจุดที่ 2 และลงไปปรับฐานที่จุดที่ 3 ดังรูปด้านล่างครับ

จากรูปด้านบนจะเห็นว่า จุดที่ 1 คือจุดทีต่ำที่สุด และราคาได้ขึ้นมาที่จุดที่สอง และลงมาปรับฐานที่ จุดที่สาม ซึ่งมีข้อสังเกตอยู่ว่า จุดที่3ต้องลงไปแล้วต้องไม่ต่ำกว่าจุดที่ 1 ตำแหน่งของจุดที่ 3 ต้องปรับฐานไม่เกิน 2/3 ของระยะจากจุดที่ 1 ถึงจุดที่ 2 เราอาจจะใช้ Fibonacci Retracement ในการหาราคาปรับฐานของจุดที่ 3 ได้ดังรูป ครับ

จากรูปเราจะเห็นว่า ราคาไม่สามารถผ่าน Fibonacci 38.2 % ข้อสังเกตอีกหนึ่งข้อคือ ราคาปรับฐานของจะต้องอยู่ในช่วง 38.2-61.8% ถ้าลงต่ำกว่า 38.2 % ราคาจะลงไปทดสอบ Low อีกครั้ง
Take Profits การหาเป้าหมาย เราสามารถวัดหาเป้าหมายโดยการใช้ Fibonacci โดยเป้าหมายจะอยู่ที่ 138.2 -423.6 % ขึ้นอยู่กับสภาพของตลาด ดูรูปด้านล่างเลยครับ
การตั้ง stop loss ,sl เมื่อเราเข้า Buy ที่ตำแหน่งที่ 3 แล้ว ถ้าเกิดความผิดพลาดราคาไม่ขึ้นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ ตำแหน่งที่เราควรจะตัดทิ้ง Cut Loss ก็คือ ที่ตำแหน่งที่ 1 หรือต่ำกว่าตำแหน่งที่ 1 ประมาณ 10 จุด เพราะบางครั้ง ราคาอาจจะลงไปทำ Double bottom แล้วเกิดการกลับตัวขึ้นมา

ตัวอย่างสัญญาณ 123 Buy


การลากเส้น Trendline

พอดีมีน้องใน Box chat ถามถึงวิธีการหาแนวรับแนวต้าน โดยการลากเทรนไลน์ ผมก็เลยมาเขียนบทความนี้ อธิบายถึงการลากเทรนไลน์ เพื่อหาแนวรับแนวต้านนะครับ
ก่อนอื่นเลยไปที่ Insert แล้วเลือก Line เลือก Trendline พอเลือกแล้ว เม้าท์ของเราจะมี เทรนไลน์ติดมาด้วย
จากนั้น ให้เอาไปจิ้ม ที่ยอดก่อนหน้านั้น เทียบกับยอดปัจจุบัน ดูตามรูปเลยนะครับ
รูปนี้เป็น GBP/JPY 1H เป็นการหาแนวต้าน Resistance Trendline


การหาแนวรับก็ลากเทรนไลน์ จากจุดต่ำสุดก่อนหน้านั้น เทียบกันสองคลื่น แล้วจะได้แนวรับปัจจุบัน ดังรูปครับ


ต่อไปจะเป็นการหา แนวรับ และแนวต้านจาก Horizontal line คลิกที่ Insert เลือก Line แล้วเลือก Horizontal line จากนั้นก็เอามา จิ่้มที่ ยอดของราคา และ ก้นเหวของราคา ดังรูปเลยครับ

ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวรับและแนวต้านได้ เราก็รอสัญญาณกลับตัวจากแท่งเทียนนะครับ ต้องรอมันทดสอบแนวรับแนวต้านนั้นๆก่อนนะครับ โดยการเปิดที่ช่วงเวลาเล็กๆ ลงมา ถ้าทดสอบแนวรับแนวต้านนั้นสองถึงสามรอบแล้วไม่ผ่าน เราก็เปิดออเดอร์ กันเลยครับ
ผิดพลาดประการใดขออภัยนะครับ
ขอบคุณมากครับ

วีดีโอการหาจุดกลับตัวของแนวโน้มโดยใช้กราฟแท่งเทียน

วีดีโอนี้จะสอนเกี่ยวกับการหาจุดกลับตัวโดยใช้กราฟแท่งเทียน อธิบายเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียน เราสามารถนำมาประยุกต์กับตลาด Forex ได้

การ เทรดโดยการใช้Pivot(Trading by using Pivot)

สวัสดีครับทุกท่าน นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผมใช้เทรดในปัจจุบัน ถ้ากราฟไหนตรงเงื่อนไขนี้ผมก็มักจะใช้มันในการเทรด ไม่ยากครับวิธีนี้ ง่ายๆ แค่หาจุดกึ่งกลางราคาของราคาเมื่อวานนะครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกะไอ้เจ้า Pivot กันก่อนนะครับ ว่ามันมีความสำคัญยังไง Pivot คือ ราคากึ่งกลางของช่วงเวลาที่เราวัด จากจุดสูงสุดถึงต่ำสุด (งงมั้ยครับ.. อิอิ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน..เอาเป็นว่าเข้าใจกันนะ) เราจะหา Pivot หรือจุดกึ่งกลางได้ยังไง จุด Pivot เราจะหากันจากกราฟของเมื่อวานนะครับ เราดูราคาสูงสุด ( High = H ) ราคาต่ำสุด ( Low =L ) และราคาปิด ( Close=C) เปิดกราฟ Daily นะครับ แล้วใช้เม้าท์ชี้ที่แท่งเทียน แล้วมันจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับราคาพวกนี้นะครับ ( สำหรับท่านที่เทรด Marketiva นะครับ ) ดูรูปด้านล่างนะครับ
เห็น กรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆกันมั้ยครับ ในนั้นจะบอกราคา Open ,High, Low, Close ครับ เราจะใช้ราคา High , Low , Close มาใช้ในการคำนวณเพื่อหา Pivot นะครับ
สูตรที่ใช้ในการคำนวณหาค่า Pivot คือ
Pivot = (High + Low +Close)/3
จุดกึ่งกลางเท่ากับ ราคาสูงสุด บวก ราคาต่ำสุด บวก ราคาปิด แล้วเอาทั้งหมด มาหารด้วย 3 ครับ
หรือ P = (H+L+C)/3
จากตัวอย่างเรา ลองคำนวณกันเล่นๆนะครับ
แทนค่าที่ได้ลงไปในสูตรเลย
High = 1.2577 , Low=1.2353, Close=1.2367
แทนลงไปในสูตรข้างบนครับ
Pivot = ( 1.2577+1.2353+1.2367) เราก็จะได้ ค่า Pivot เท่ากับ 1.2432
พอเราได้ค่า Pivot ของเมื่อวานแล้ว เราก็มาดูกราฟของวันนี้เลยครับ ดูราคาว่ามันวิ่งกลับไปเทสที่ Pivot มั้ย ถ้ามันไปเทส หรือราคาไกล้เคียง เราก็เตรียมเข้าออเดอร์กันได้เลยครับ
ขอนอกเรื่องนิดนึงนะครับ นอกจากเราจะใช้ค่า ราคา High Low Close ในการหา Pivot ได้แล้ว เรายังสามารถใช้ ราคาเหล่านี้ราคา แนวรับและแนวต้านของกราฟได้อีกด้วย เรามาดูกันครับ ว่าหากันยังไง
เมื่อเราได้ค่า Pivot , P แล้ว เราเอา P มาใส่ใน สูตรเหล่านี้นะครับ
อิอิ ผมขออธิบายศัพท์ก่อนนะครับ ลืมๆ
จุด กึ่งกลาง , Pivot, P
แนวรับ (Suport)
แนวรับที่ 1, Support 1 , S1
แนว รับที่ 2, Support 2 , S2
แนวรับที่ 3, Support 3 , S3
แนวต้าน( Resistance)
แนวต้านที่ 1 , Resistance 1, R1
แนวต้านที่ 2 , Resistance 2, R2
แนวต้านที่ 3 , Resistance 3, R3
เรามาดูสูตรที่ใช้ ในการคำนวณค่าเหล่านี้เลยครับ
P=(H+L+C)/3
S1=P-0.382(H-L)
S2=P-0.50(H-L)
S3=P-0.618(H-L)
R1=P+0.382(H-L)
R2=P+0.50(H-L)
R3=P+o.618(H-L)
เรา จะเห็นว่า มีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตัวเลขพวกนี้เป็นตัวเลข Fibonacci Number ครับ เด๋วรายละเอียดเราค่อยมาว่ากันในบทความต่อไป หรือถ้าท่านใดอยากศึกษา Search Google เลยครับ มีเพียบบบ
จากสูตรข้างบน เราก็จะได้แนวรับและแนวต้าน พอได้แล้ว เราก็ใช้ Horizontal line แปะไว้บนกราฟเลยครับ ( สำหรับ คนที่เทรด marketiva นะครับ คลิกขวาที่กราฟ แล้วเลือก Indicators >> Horizontal Line )
เพียงแค่นี้ก็จะมีแนว รับแนวต้านของวันอยู่บนกราฟเราละครับ

มาเข้าเรื่องกันต่อครับ การใช้ Pivot ในการเทรดยังไมได้เห็นภาพกันเลย ผมจะใช้กราฟของโปรแกรม Mt4 นะครับ ในการอธิบาย และใช้ Fibonacci Retracement ในการหา ค่า Pivot ค่า Pivot ก็คือค่า 50 % ใน Fibonacci นั่นเองครับ
ก่อนอื่นเซตกราฟ ใน Mt4 ของท่านก่อนนะครับ คลิกขวาที่กราฟ แล้วเลือก Properties ครับ ตามรูปด้านล่างเลยนะครับ
จากนั้น ก็ไปคลิ็ก ที่ช่อง Common แล้วก็ติ็ก ตามรูปเลยนะครับ แล้วกดปุ่ม OK
พอกด OK แล้วจะได้กราฟ หน้าตาแบบนี้นะครับ คลิกขวา เลือก Periodicity ที่ 15 minutes
จากรูป เราจะเห็นเส้นปะแนวตั้ง เส้นนี้คือ มันจะแบ่งช่วงของราคาวันต่อวันครับ เราก็สามารถรู้จุดสูงสุดและต่ำสุดของอดีตได้
เอาล่ะครับ เกริ่นนำมานานมาก หลายท่านคงบ่นแล้วสิ เมื่อไรมึงจะเข้าเรื่องซักทีวะ ++ ใจเย็นๆครับ ท่าน เด๋วผมขอนอกเรื่องนอกซักเรื่องครับ เป็นการตั้งค่า Fibonacci ให้บอก จุด pivot แสดงราคาให้เราได้ด้วย เริ่มกันเลยครับ
ให้ ไปคลิกที่ Insert แล้วก็เลือก Fibonacci แล้วเลือก Retracement นะครับ พอเลิกแล้ว มันจะติดอยู่ที่เมาท์ของเรา เอามันไปจิ้มที่ยอด สูงสุดก่อนครับของช่วงเวลาเมื่อวานนี้ ที่อยู่ในกรอบเส้นปะอ่ะครับ
พอ จิ้มที่สุดสูงสุุด จิ้มค้างไว้นะครับ อย่าพึ่งปล่อยเมาท์ แล้วลากมันลงมาหาจุดต่ำสุดของวันครับ ลากลงมาเลยครับท่าน เราก็จะได้ดังรูปด้านล่างนี้ครับ
จากนั้น ให้ให้คลิกขวาที่ตัว Fibonacci มันจะมีจุดขาวๆขึ้นมาแล้วเลือก Fibonacci Properties หรือไม่เราก็คลิกขวาที่กราฟครับ แล้วเลือก Objects List แล้วเลือก Fibo แล้วคลิกที่ Edit จากนั้น จะขึ้นหน้าต่างใหม่ขึ้นมาตามรูปด้านล่างเลยครับ
ให้ เลือกที่ Fibo Levels นะครับ แล้วให้เรา พิมคำว่า =%$ ต่อท้ายตัวเลขที่ช่อง Descripttion ให้หมดทุกตัวเลยนะครับ ยกเว้น ที่ ช่อง 50 ให้ลบออกครับ แล้วพิมคำว่า Pivot=%$ ลงไป จะได้ตามรูปครับ
ครับ และแล้วเราก็ได้ Pivot แล้ว ซึ่งเป็นราคา Pivot ของวันที่ผ่านมา ซึ่งเราจะเรามาใช้ในการสังเกตการณ์ในกราฟของวันนี้ ที่เรากำลังเล่นอยู่ จากรูปจะเห็นว่า ราคา Pivot อยู่ที่ 1.4933 ซึ่งในช่วงตลาด โตเกียว ราคาจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป จนใกล้ถึงจุด Pivot ของเรา ถ้าราคาไม่สามารถทะลุผ่าน Pivot ขึ้นไป ให้เปิด Sell ได้ทันที จากนั้นก็รอราคาลงมาเรื่อยๆ จนเราพอใจ แล้วเราค่อยปิด เอากำไร การตั้ง stop Loss ของวิธีนี้ ควรตั้งอยู่เหนือ ราคา 61.8( ในกรณีที่เรา Sell แต่ถ้าเรา Buy ก็ตั้งต่ำกว่า 38.2 ไว้ประมาณ 10 จุด) ข้อสังเกตอีกอย่างของวิธีการนี้คือ ถ้าราคาทดสอบ ที่บริเวณ Pivot หรือใกล้เคียงราคา Pivot ให้เราคิดไว้เลยว่า ไม่นานมันจะกลับตัว หรือไม่ก็รอแท่งเทียนยืนยันการกลับตัว ถ้ามีแท่งเทียนกลับตัว เราก็เปิด ออเดอร์ตามมาเลย ดูภาพด้านล่างนะครับ ภาพตัวอย่างนี้ ราคาวิ่งไม่ถึง จุด Pivot แล้วลงมาทันที แล้วลงเยอะด้วย ใคร Sell กำไรบานเลยครับ ดูรูปด้านล่างกันเลยครับ
ไม่ยาก นะครับวิธีนี้ ง่ายๆ แต่ต้องรอหน่อย รอแค่จุด Pivot วันนึงเราอาจจะได้เทรดแค่ครั้งเดียว หรือสองครั้ง
วิธีนี้เหมาะสำหรับ Day Trade นะครับ เล่นรายวันยาวๆหน่อย เด๋วดูตัวอย่างประกอบกันเลยครับ
หวัง ว่าวิธีนี้คงทำให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้มีกำไรจากฟอเร็กซ์นะครับ .. ขอให้ร่ำรวยครับ ^^ pipsrunner
Buy ที่ Pivot สบายๆเลยครับ
ราคา กลับมาเทสที่ Pivot สองครั้ง ไม่ผ่าน เรา Sell ได้เลยครับ

การ เทรดโดยการใช้ แนวรับ-แนวต้าน(Trading by using Support and Resistance)

การเทรดโดยใช้ แนวรับ แนวต้าน (Support and Resistance Forex Trading Forex)
การเทรดโดยใช้แนวรับและแนวต้านนี้ทำได้หลายวิธี ซึ่งผมจะค่อยๆ เขียนลงให้ Blog ให้นะครับซึ่งวันนี้ผมจะเขียนวิธีที่ใช้กันทั่วไปก่อนก็คือ
1 . การเทรดโดยใช้จุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีต
วิธี การนี้เราจะใช้จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดในอดีต โดยปกติแล้วจุุดสูงสุดและต่ำสุดนี้จะมีความสำคัญมากเพราะว่าราคาจะกลับ มาทดสอบจุดพวกนี้อีกครั้ง ถ้าผ่านก็ไปต่อ ถ้าไม่ผ่านก็กลับตัว เราจึงใช้จุดพวกนี้ในการเข้าเทรดได้
ดูตัวอย่างจากรูปด้านล่างกันเลยนะ ครับ(ท่านสามารถคลิกที่รูปด้านล่างเพื่อขยายได้ครับ)
จากรูป เป็นกราฟของค่าเงินปอนด์เทียบดอลล่านะครับ ( GBP/USD) ดูที่กราฟราย 1 ชั่วโมงนะครับ จะเห็นว่าผม ได้ขีดเส้นสองเส้นสีแดงเอาไว้ ที่กราฟ และมีราคากำกับอยู่ จะมีสองราคา คือ 1.5045 และ 1.5058 เหตที่ทำไว้สองราคาคือ ในบางครั้งราคาจะกลับแนวต้านนี้ บางที่มันก็มีทดสอบที่ราคาสูงสุด และบางทีมันก็มาทดสอบที่ราคาปิด( Trader ส่วนใหญ่จะใช้ราคาปิดเป็นแนวรับแนวต้านครับ ) เมื่อเราได้ราคาสังเกตการณ์แล้วคือ 1.5045 และ 1.5058 ก็ให้รอ ครับ รอ ร้อ รอ ไปเรื่อยๆ จนกว่าราคามันจะกลับมาเทสจุดที่เราได้ขีดเส้นไว้อีกรอบครับ หลังจากที่รอกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง และแล้ว ราคามันก็กลับมาครับ แต่เราไม่รู้ว่ามันจะทะลุหรือว่ามันจะกลับตัว ดูภาพด้านล่างประกอบเลยครับ
จากรูป จะเห็นว่าราคากลับมาเทสที่ High อีกรอบ เราก็รอดูมันครับ ถ้ามันผ่าน วิธีการนี้ก็ใช้ไม่ได้ รีบสละเรือด่วน ( ถ้าเข้าไว้ ก็ Stop loss ทิ้งไปครับ ) แต่ในกรณีนี้ เหมือนสวรรค์เข้าข้างเราครับ มันชนแนวต้านที่เราขีดไว้ แล้วเด้งกลับทันที เกิดแท่งเทียนกลับ ( Reversal candle ) ครอบคลุมแท่งเทียนขาขึ้น ( Bullish Candle ) มิดด้ามเลยครับ ก็แสดงให้เห็นว่า แนวต้านนี้เป็นแนวต้านที่แข็งน่าดู จึงบอกเราได้ว่า มันกลับตัวแน่นอนครับ เรามาดูภาพต่อไปกันเลยครับ
จากรูป จะเห็นมั้ยครับ ว่า พอราคามันไม่ผ่านแล้ว มันลงยาวเลยครับ เรามีดูวิธีการเข้าออเดอร์ของกราฟลักษณะนี้นะครับ เข้าได้หลายกรณีครับ บางคนก็รอให้ชนเส้นแนวต้านที่เราขีดไว้ก่อนแล้วถ้าเกิดแท่งเทียนกลับตัว ( Reversal Candle ) พวกเขาจึงจะเปิด ออเดอร์ Sell ครับ และบางคนก็ตั้ง Order Sell ไว้ที่เส้นที่เราขีดไว้เลยครับ(ชาวสวนครับ)แล้วก็ตั้ง Sl ไว้ประมาณ 10-50 จุดครับ แล้วแต่ว่าใครอยากเสียกันเยอะ หรือว่าอยากเสียกันน้อยๆ ขึ้นอยู่กับความพอใจครับ ซึ่งเราสามารถใช้วิธีการเข้าออเดอร์ได้ทั้งสองกรณี ทีนี้เรามาดูการตั้งราคาเป้าหมายกันบ้าง เข้าแล้วออกไม่เป็นอีก ไม่รู้จะออกราคาไหน ก็เอาราคาแนวรับของกราฟในอดีตอีกแหระครับ ตั้งทาเก็ต ถ้าลงมาถึง ก็ร่ำรวยกันครับ แต่ในกรณีนี้ ราคาลงมาถึง แนวรับ ที่ผมได้ขีดเส้นไว้เลยครับซึ่งเป็นราคาปิด 1.4581 ใครได้ปิดราคานี้ ถือว่า เซียนมากครับ รับทรัพย์กันเต็มๆ จากยอด ถึง เหว ก็เกือบๆ 500 จุด ครับ แต่รอหลายวันหน่อยนะ แต่ก็คุ้มกับการที่รอคอยครับ
*** เป็นไงบ้างครับ ยากมั้ยวิธีนี้ ผมว่าไม่ยากนะ แต่ไอ้ที่ยากก็คือ เห็นมันบวกแล้วจะพากันปิดก่อน ก่อนถึงทาเก็ต(Target)นะสิครับ อิอิ ผมเองก็ไม่รอมันถึงทาเก็ตหรอกครับ บวก 100 นี่ก็ถือว่า เทพละครับ ** ขอให้ร่ำรวยครับ

Stochastic

Stochastic เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการเกร็งกำไรในตลาดฟอเร็กซ์ สโตเป็นเครื่องมือวัดการแกว่งของตลาดซึ่งเหมาะกับตลาดไซว์เวย์ (Side way) ไซเวย์หมายความว่ามีการแปลงแปลงของราคาไม่มากนัก สโตเป็นเครื่องมือที่ไวเท่ากับราคา สัญญาณของสโตจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการตัดกัน โดยส่วนมาก ผมจะใช้ สโต ในการดูOverbought / Oversold และ การดู Divergence
สัญลักษณ์ ที่ผมใช้เพื่อให้เข้้าใจกันทุกคนนะครับ
OB=Overbought สัญญาณแรงซื้อเยอะเกินไปแล้ว
OS=Oversold สัญญาณการขายเยอะเกินไปแล้ว
DVB=Divergence Bullish สัญญาณกลับตัวของขาขึ้น
DVBr=Divergence Bearish สัญญาณการกลับตัวของขาลง
มาดดูภาพด้านล่าง ประกอบเลยนะครับ

จากภาพด้านบนจะเห็นว่า ผมได้กำหนดให้เส้นปะสีขาว ที่ระดับ 80 เป็น เขต OB และ เส้นประสีขาวด้านล่างที่ระดับ 20 เป็นเขต OS ซึ่งสโตในรูปผมได้ตั้งค่าไว้ที่ 8- 3 -3 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ใช้กันโดยทั่วไป มีเส้นสีขาวและสีแดง เป็นเส้นสัญญาณในการพิจาณา ซึ่งดูจากการตัดกันของเส้น

การดู stochastic

1.เมื่อเส้นสัญญาณทั้งสองเส้นได้วิ่่งเข้าสู่ เขต OB ระดับ 80 แล้ว เราก็เริ่มพิจาณากันได้เลยว่า การขึ้นมาของราคาเริ่มจะสิ้นสุดลงแล้ว ให้เตรียมปิดออเดอร์ เมื่อเริ่มมีสัญญาณการกลับตัวนั่นก็คือ เส้นสัญญาณท้งสองเส้นเริ่มตัดกันให้เราปิด ออเดอร์ ที่เรา Buy มาทันที และเตรียมหาสัญญาณ Sell เมื่อเส้นสัญญาณทังสองเ้ส้นได้ตัดกันเรียบร้อยแล้ว

2.เมื่อเส้นสัญาณทั้งสองเส้นได้วิ่งเข้าสู่เขต OS ระดับ 20 แล้ว มันเป็นสัญญาณบอกเราว่า การลงมาของราคาไดใกล้สิ้นสุดแล้ว ให้เราเตรียมปิดออเดอร์ที่เราได้ Sell
มา แล้วเตรียมหาโอกาสเมื่อเส้นสัญญาณทั้งสองเส้นได้กลับตัวแล้วมีการตัดกันเกิด ขึ้น แล้วเราก็เปิด order buy ทันที

3. การดู Divergence ไดเวอร์เจนดูได้สองแบบคือ ดูไดขาขึ้น และไดขาลง ไดขาขึ้นเรียกว่า Divergence Bullish ไดขาลงเีีรียกว่า Divergence Bearish
การดูไดขาขึ้น DVB จากรูปเห็นเส้นสีเหลืองกันมั้ยครับ นั่นแหระครับ คือ Divergence ไดเวอร์เ้จ้นเป็นการลากจุดสองจุดเทียบกัน โดยมีข้อกำหนดที่ว่า ยอดแรกและยอดที่สองต้องไม่เท่ากัน จึงจะเรียกว่าไดเวอร์เจน การดูไดขาขึ้นก็ลากสองยอดเทียบกัน โดยให้ ความชันมีค่าเป็นบวก ถ้าสัญญาณได้เกิดไดเวอร์เจนนั่นก็หมายความว่าราคาจะมีการกลับตัวในไม่ช้า เตรียมเปิดออเดอร์กันได้เลย การใช้ sto ดูไดเวอร์เจนจะไม่ค่อยชัดเจนเหมือนดูจาก CCI , RSI , และ MACD เพราะ stochastic จะเน้นไปทางการดู
Overbought/ Oversold มากกว่า และดูจากการตัดกันของ เส้นสัญญาณทั้งสองเ้ส้นด้วย เพียงแค่นี้เราก็สามารถเกร็งกำไรจากตลาดฟอเร็กโดยใช้ stochastic กันได้แล้ว

MACD( Moving Average Convergence Divergence)

Moving Average Convergence Divergence (MACD)
เป็นเครื่องมือวัดความแรงของตลาด ซึ่งได้คำนวณค่าจากเส้นการเคลื่อนที่ของราคา 2เส้นMACD ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ เส้น Moving Average , Signal Line , และ Histogram ดังรูปด้านล่าง

จากรูปด้านบน EUR/USD 4 Hours กราฟแบบแท่งเทียน(Candlestick)
เส้นสีแดงเป็น Signal Line
เส้นสีน้ำเงินเป็นเส้น Moving Average
ส่วนสีเงินเป็น Histogram ฺBar
MACD จะ แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ด้านบนและด้านล่าง โดยมีเส้น Zero Line กลั้นอยู่ โดยด้านบนเราจะเรียกว่า แดนบวก( Bullish zone) และด้านล่างจะเรียกว่า แดนลบ (Bearish Zone)
พิจาณารปด้านบน
จากหมายเลข 1 เราจะเห็นว่า เส้น Moving Average สีน้ำเงิน ตัดกับเส้น Signal Line สีแดง เมื่อ ตัดผ่าน เราก็เข้าซื้อ (Buy/Long) กันได้เลย เมื่อเข้าแล้ว ถ้าราคาเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นก็ปล่อยไปเรื่อยๆ หรืออาจจตั้งเป้าหมายเอาไว้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของทุกท่านว่าจะเอาเท่าไร เราจะปิดก็ต่อเมื่อเส้นสีน้ำเงิน ตัดกับ เ้ส้นสีแดงอีกครั้ง เราก็ทำการปิดออเดอร์ดังรูปหมายเลข 2 จากนั้น ก็รอหาจังหวะในการเข้าทำกำไรใหม่อีกครั้ง จะเห็นว่า หมายเลข2 เป็นสัญญาณขาย ( Sell/ Short) เราก็เซลเมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดกับสีแดง และรอปิดเมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดสีแดงอีกครั้ง เราจะเห็นว่าช่วงที่ 2- 3 ไม่น่าเปิดออเดอร์
ต่อไป เรามาทำการพิจารณา Histogram ในช่วงหมายเลข 2 ถึง หมายเลข 3 จะพบว่า Histogram(สีเงิน) ทำยอดคลื่นต่ำลงเรื่อยๆ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ราคาในขาขึ้นเริ่มหมดแรงแล้ว ในภาษาทางเทคนิค เรียกกันว่า Divergence ราคายังเป็นขาขึ้นอยู่ แต่ Macd-Histogram เริ่มปรับตัวลง เราก็เริ่มมองหาสัญญาณขาย( Sell/Short) กันได้เลย ดังหมายเลข 3 สีน้ำเงินตัดกับสีแดง สัญญาณConfirm ว่าให้ Sell คือหมายเลข 7 ตำแหน่งนี้เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนมากเพราะเส้นสีน้ำเงินและ Histogram ตัดกับ Zero Line ซึ่งหมายความว่าตลาดได้เข้าสู่สภาวะกระทิง (ฺำBearish Market) ตลาดขาลง เมื่อเรา Sell แล้วก็ปล่อยให้ราคาวิ่งไปเรื่อย เมื่อเส้นสีน้ำเงินตัดเส้นสีแดงอีกครั้งเราก็ทำการปิดออเดอร์ และรอจังหวะ เพื่อ ที่จะซื้อกลับอีกรอบ
ต่อไปเรามาพิจารณาหมายเลข 4 และหมายเลข 5 จะดังเกตว่า Histogram ทำการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ ในขณที่ราคาด้านบนก็ยังมีการปรับตัวลง นี่คือ Divergence bullish เราจะเห็นว่า สันคลื่นของหมายเลข 5 สูงกว่า หมายเลข 4 นั่นหมายความว่า ราคาจะเกิดการกลับตัวในไม่ช้า เราจะรู้ได้ไงว่าราคาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง เราก็ดูการตัดกันของเส้นสีน้ำเงินตัดกับสีแดงเหมือนเดิม ถ้าสีน้ำเงินตัดสีแดงขึ้น ก็ทำการ ซื้อ Buy กันได้เลย เมื่อเราได้ทำการซื้อ ฺBuy ในหมายเลข 5 สัญญาณ คอนเฟริม ก็คือ เส้นสีน้ำเงินและ Histogram ได้ตัดเส้น Zero Line ขึ้นไป(หมายเลข 6 ) หมายเลข 6 จะเป็นตำแหน่งซื้อ Buy ที่ปลอดภัย เพราะตลาดได้เข้าสู่สภาวะขาขึ้น ( Bullish Market) นักลงทุนบางคนจะรอเข้า แค่ตรงนี้เพราะพวกเขาถือว่า เปิดออเดอร์ในราคาที่ปลอดภัยดีกว่าเิปิดออเดอร์ในราคาที่สวย
เราจะเห็นว่า MACD จะวิ่งเป็นรอบ ขึ้น ลง ขึ้น MACD ให้สัญญาณช้า แต่ว่ามีความแม่นตรงค่อนข้างสูง มันจึงถูกยกย่องให้เป็น อินดิเคเตอร์เทพ แห่งฟอเร็กซ์
การดู MACD นั้น ไม่ยาก แค่ดูการตัดกันไปตัดกันมา ของเส้นสีน้ำเงินและสีแดง และ ดูว่าเส้นสีน้ำเงินและ Histogram ตัดผ่าน Zero Line เพียงแค่นี้เราก็สามารถทำกำไรจาก ตลาด ฟอเร็กได้แน่นอน

รูปตัวอย่างการเทรดโดยใช้ MACD อย่างเดียว



Divergence Bulish คือ ราคาทำราคาต่ำสุดใหม่ เมื่อเทียบกับยอดเก่า แต่ Indicator ทำยอดสูงขึ้นเรื่อยๆDivergence Bearish คือ ราคาทำราคาสูงสุดใหม่ เมื่อเทียบกับยอดเดิม แต่ Indicator ทำ ยอดต่ำลงมาเรื่อยๆ
Side way คือ ราคาวิ่งไปวิ่งมา ในกรอบราคาแคบๆ ไม่มีเทรนที่ชัดเจน ช่วงนี้ ไม่น่าเทรด เพราะอาจจะทำให้เราปวดหัวได้

Moving Average 1

Moving Average คือเส้นเฉลี่ยการเคลื่อนที่ซึ่งคำนวณมาจากราคาในแต่ละช่วงแล้วนำมาหาค่า เฉลี่ย
การใช้ Moving Average ในการทำกำไร เราจะใช้กับตลาดที่สามารถบอกเทรนได้ ไม่สามารถใช้กับตลาดที่ผันผวนมากๆแกว่งไปแกว่งมา ( Side way)
Moving Average ให้สัญญาณที่ช้า แต่ถ้าเราดูเป็นก็สามารถใช้มันในการเกร็งกำไรได้อย่างง่ายดาย
ประโยชน์ Moving Average
1. ใช้เป็นเส้นแนวรับแนวต้านได้
2. ใช้เพื่อดูแนวโน้ม
3. ใช้ Confirm สัญญาณการเข้าออก
Moving Average ที่่ใช้กันทั่วไป ใช้ แบบ Simple และ Exponential เรียกสั้นๆ ว่า SMA และ EMA
ผมจะยกตัวอย่าง Moving Average ที่ผมใช้ในการเกร็งกำไรนะครับ
Moving Averageที่ผมใช้เป็น แบบ Exponential มีค่า Period 5 , 21 , 55 , 110 และ 200 วัน ทำไมผมจึงเลือกใช้ Exponential ก็เพราะว่า EMA จะให้ค่าที่แม่นตรงกว่า SMA
เรามาดูวิธีการใช้กันเลย
1 . ใช้เพื่อดูแนวรับแนวต้าน(Support And Resistance)
การดูแนวรับแนวต้านเราจะดูที่ช่วงเวลา( Time Frame ) ใหญ่ๆ เพราะที่ช่วง TF ใหญ่ๆจะให้ค่าที่ค่อนข้างแม่นพอสมควร
เมื่อราคาวิ่งผ่าน EMA ไปแล้ว โดยส่วนใหญ่ มันจะวิ่งกลับมาหาเส้นที่มันทะลุอีกครั้งเพื่อทดสอบแนวรับแนวต้าน
ดูรูปประกอบด้านล่าง

จากรูปด้านบน เป็นกราฟ Daily ของ USD/JPY
สีน้ำเงิน เป็น เส้น EMA 5
สีแดง เป็น เส้น EMA 21
สีดำ เป็น เส้น EMA 55
สีส้ม เป็น เส้น EMA 110
สีน้ำตาลเป็น เส้น EMA 200
จากรูปด้านบนเราจะเห็นว่า เมื่อราคาได้ทะลุเส้น EMA แล้วมักจะกลับมาทดสอบอีกครั้ง ลองดูง่ายๆนะครับ เราจะเห็นกราฟ ยูเจ เป็นช่วงขาลง
และราคาได้ปรับตัวขึ้นไป เส้นแนวต้านเส้นแรกก็คือ EMA 5 ถ้าทะลุ เส้นนี้ก็ไป EMA 21 ถ้าทะลุ 21 ก็ไปหาเส้น 55 ถ้าทะลุก็ไปต่อเรื่อยๆ
เส้น EMA 200 จะเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งมาก ถ้าทะลุไปก็คือเปลี่ยนแนวโน้มทันที ห้ามสวนเทรน เราอาจจะใช้ เส้น EMA 200 เพื่อบอกเทรนก็ได้
เราสามารถประยุกต์ EMA นี้ ได้กับ ทุก Time Frame เพื่อทำกำไรในตลาดฟอเร็ก

2. เราจะใช้ EMA เพื่อบอกแนวโน้ม ดังรูปด้านล่าง
EMA สามารถบอกแนวโน้มเราได้ ว่าขณะนี้เป็น เทรนขึ้นหรือลง
แนวโน้มขั้น ( Up Trend) จะเป็นแนวโน้มขึ้นก็ต่อเมื่อ ราคาได้ทะลุ EMA ทุกเส้นขึ้นไปทั้งหมด และราคาปิดสามารถอยู่เหนือ EMA
(การดูแนวโน้ม ให้ดูที่กราฟ สี่ชั่วโมงขึ้นไป เพราะกราฟใหญ่ๆจะไม่หลอกเรา )
แนวโน้มลง (Down Trend ) จะเป็นแนวโน้มลงก็ต่อเมื่อ ราคาได้ทะลุ EMA ทุกเส้นลงมาทั้งหมด และราคาปิดอยู่ใต้เส้น EMA

3.ใช้ Confirm สัญญาณการเข้า-ออก เราสามารถใช้ EMA ในการซื้อขาย ได้ หลักการดูก็คือ ดูการตัดกันของ EMA โดยเริ่มจาก EMA ที่มีค่าน้อยตัด EMA ค่ามาก
เช่น EMA 5 ตัดกับ EMA 20 ตัดขึ้นไป เราก็เข้าซื้อ BUY/LONG หรือ EMA 5 ตัดกับ EMA 20 ตัดลงมาก เราก็เข้าขาย Sell/Short ดูตัวอย่างจากรูปด้านล่าง
จากรูป ดูที่ขอบด้านซ้าย EMA 5 เริ่มตัด เส้นEMA 21 นั้นเป็นสัญญาณบอกแล้วว่า แนวโน้มได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว และ เส้น EMA 5 ก็ทะลุเส้น EMA 21 , 55 ,100 ,200
เราก็คาดการณ์ได้เลย ว่าเป็นแนวโน้มลงแน่นอน สังเกตุที่แท่งเทียน แท่งเทียนได้ทะลุ EMA 5 ลงมาแล้ว และมันก็กลับไปเทสที่ตัวมันเองอีกครั้งแต่ไม่ผ่าน แล้ว
ราคาก็ไต่ระดับลงมาอีกแล้วก็กลับไปทดสอบเส้น EMA 5 และ EMA 21 กราฟแบบนี้สวยมาก เป็นการลงต่อเนื่อง ไม่สามารถทะลุ EMA ที่มีค่าน้อยๆไปได้ นั่นหมายความว่า
ราคายังจะลงต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเส้น EMA 5 จะทะลุเส้น EMA 21 ขึ้นไป เราจึงมองว่ามันเป็นขาขึ้น อย่าสวนเทรนกันเด็ดขาด

เมื่อเรารู้แล้วว่าแนวโน้มใหญ่ไปทางไหน ขึ้นหรือลง เราก็มามองหาราคาที่เราจะเปิดออเดอร์ เราควรหาราคาเข้าที่ Time Frame เล็กๆ
เมื่อแนวโน้มของ Time Frame เล็กๆ ตรงกับ แนวโน้มของ Time Frame ใหญ่ เราจึงเปิดออเดอร์ ... ขอให้ทุกท่านโชคดี ครับ

Forex

FOREX
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราสากล Foreign Exchange Market เรียกโดยย่อว่า FOREX  หรือ Retail forex” หรือ FX หรือ Spot FX หรือเพียงแค่ Spot เป็นสถาบันตลาดการเงินที่ใหญ่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายเกิน 4 ล้านล้านเหรียญต่อวัน ถ้าเราเปรียบกับ 25 ล้านเหรียญ ต่อวัน ของปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นิวยอร์ค คุณจะเห็นความมหึมาของตลาดเงินตราสากล ความจริงแล้วมันก็ประมาณ 3 เท่าของตลาดหุ้นทุกชนิดในโลกรวมกัน นี่คือความยิ่งใหญ่ของ Forex

  • คนไทยส่วนใหญ่ เข้าใจคำว่า Forex ผิดไป ส่วนมาก เมื่อเอ่ยถึง Forex จะมีภาพพจน์ไปทางทางฟอกเงิน ก็เพราะด้วยเหตุที่ว่า Forex เป็นแหล่งเงินที่มีความคล่องตัวสูงมาก จึงทำให้สิบแปดมงกุฏทั้งหลาย นิยมอ้างถึงในการชวนระดมทุนว่านำไปทำกำไรในตลาดฟอเร็กซ์ หากอ่านต่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าคุณจะมองเห็นภาพของฟอเร็กซ์กระจ่างขึ้น

  • ใช้อะไรในการค้าเงินตรา

คำ ตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ เงิน ตลาด ฟอเรกซ์ เป็นตลาดที่ทำการซื้อหนึ่งสกุลและขายอีกหนึ่งสกุลได้ในทันที สกุลค้าขายโดยผ่ายตัวแทน โบรกเกอร์ (Broker) หรือ ตัวแทน (Dealer) และซื้อขายกันเป็นคู่ต่างสกุลเงิน ยกตัวอย่างเช่น เงินดอล์ล่ายูโร กับ ดอล์ล่าอเมริกา หรือ เงินปอนด์อังกฤษ กับ เงิน เยน ญี่ปุ่น

เป็น เพราะว่าคุณไม่ได้ซื้อสิ่งของที่จับต้องได้ การค้าชนิดนี้อาจจะเข้ายากสักนิด อาจคิดเหมือนกับว่าการซื้อสกุลเงินเป็นการซื้อหุ้นของประเทศนั้น ๆ เมื่อคุณซื้อเงิน เยน ญี่ปุ่นเท่ากับคุณซื้อหุ้นเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น เพราะค่าของสกุลเงินของประเทศญี่ปุ่น เป็นผลสืบเนื่องโดยตรง ที่ตลาดเล็งถึงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคตของประเทศญี่ปุ่น

โดย ทั่วไปแล้วอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่ออีกสกุลเงินหนึ่ง สะท้อนถึงสถานภาพของเศรษฐกิจของประเทศนั้น เปรียบเทียบ กับอีกประเทศหนึ่ง
ไม่ เหมือนตลาดหุ้น (Stock Market) ของนิวยอร์ค ตลาดฟอเร็กซ์ไม่มีสถานที่ตั้งหรือศูนย์กลาง หรือสำนักงานใหญ่ เหมือนตลาดหุ้นอื่น ตลาดฟอเรกซ์ ถูกจัดอยู่ในประเภท Over the Counter (OTC) หรือ ธนาคาร “Interbank” ด้วยความจริงที่ว่าตลาดทั้งหมดเดินด้วยการสื่อสารอีเลคทรดนิค ภายในเครือข่ายของธนาคารๆ ตลอด 24 ชั่วโมง

ก่อน ปี ค.ศ. 1990 เฉพราะเศรษฐี และ องค์กรใหญ่ ๆ เท่านั้น ที่สามารคเข้าเทรดในตลาดฟอเร็กซ์ นี้ได้ คุณสมบัติขั้นต่ำคือคุณต้องมี 50,000,000.– (ห้าสิบล้าน) เหรียญสหรัฐ เพื่อเริ่มต้นที่จะเข้าทำการเทรด แรกทีเดียว ตลาดฟอเรกซ์ ถูกจัดให้เป็นตลาดที่ใช้โดยธนาคาร และ องค์กรใหญ่ ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีไว้ให้พวกเราเข้าเทรดเล่นๆหรอกนะ อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าทางอินเตอร์เนท การเทรดฟอเรกซ์ได้ถูกจัดโดยเอเยนซี่ต่างๆ ให้เข้าทำการเทรดได้ ด้วยบัญชีรายย่อย สำหรับพวกเรา ๆ ท่าน ๆ

ทั้งหมดที่ท่าน ต้องมี ก็เพียงแต่ เครื่องคอมพิวเตอร์ และ บริการไฮสปีส อินเตอร์เนท และข้อมูลต่าง ที่คุณหาได้ จาก  blog  9professionaltrader ของเราครับ

9professionaltrader สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทางด้าน Forex และสอนวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานให้กับเทรดเดอร์ผู้ที่ต้อง การจะมีหารายได้จาก Internet นอกจากนี้ยังมีบทวิเคราะห์เพื่อเป็นแนวทางสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่


Spote Market คืออะไร ? ตลาดสปอตมาร์เกต ก็คือตลาดที่ทำธุรกรรมการแลกเปลี่ยนสกุลเงินตามราคาปัจจุบัน Forex จัดอยู่ในประเภท สปอตมาร์เกต เพราะใช้ค่าของตัวเงินในการเทรดนั่นคือเงิน ต่างจาก Future Market ที่เราได้ยินกันในประเภทซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยี่สื่อสารที่ทันสมัย ทำให้ Spote Market ได้รับความนิยม เหนือ Futrue Market แบบ ขาดลอย เพราะผู้เทรดใน Future Market จำต้องพิจารณาควบถึงอุปสงค์ของสินค้าเกษตร รวมทั้งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตด้วย ซึ่งนับวันจะได้รับความนิยมน้อยลง การทำการซื้อขายฟอร์เรกซ์ ผู้เทรดคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่งคง มั่งคั่งของประเทศที่เลือกเทรดและประเทศคู่ค้า จะเห็นว่าการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า Future Market ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้เช่นกัน และอีกยังคำนึงถึงปัจจัยนี้เช่นกัน และอีกยังต้องคำนึงถึงอุปสงค์ของสินค้านั้น ๆ อีกด้วย การวิเคราะห์แนวโน้มราคาของสินค้าเกษตรจึงดูเหมือนกับไม่ใช่เป็นของหมู ๆ เลย Future Market จำถูกจำกัดอยู่เฉพราะในวงการพ่อค้าคนกลางของสินค้านั้น ๆ

  • สกุลเงินอะไรที่ ใช้ในการเทรด ?

สกุลเงินที่เป็นที่นิยมพร้อมด้วยชื่อย่อดังรายการต่อไปนี้.-
อักษรย่อประเทศสกุลเงิน
ชื่อเรียก
USDUnited StatesDollar
Buck
EUREuro membersEuro
Fiber
JPYJapandYen
Yen
GBPGreat BritainPond
Cable
CHFSwitzerlandFranc
Swissy
CADCanadaDollar
Loonie
AUDAustraliaDollar
Aussie
NZDNew ZealandDollar
Kiwi


อักษรย่อของสกุลเงินจะเป็นอักษร 3 ตัว เสมอ 2 ตัวแรกบ่งถึงประเทศ ตัวสุดท้ายหรือตัวที่ 3 บ่งถึงชื่อสกุลเงินที่ประเทศนั้นใช้

  • ช่วงเวลาสำหรับการเทรด Forex


Spot FX market หริอ ตลาดสปอต เป็นเอกลักษณ์ในตลาดโลก เหมือนซุปเปอร์มาเก็ต ที่เปิดตลาด 24 ชั่วโมงต่อวัน ศูนย์การเงินเปิดให้บริการทุกที่ ทุกเวลา ทั่วโลก ธนาคาร และ สถาบันการเงิน สำหรับบริการทั้งวันทั้งคืนอาจหยุดเพียงชั่วขณะช่วงสุดสัปดาห์
ตลาด แลก เปลี่ยนเงินตราหมุนตามดวงอาทิตย์รอบโลก ซึ่งคุณสามารถเทรดได้ในเวลากลางคืน (หากว่าคุณใกล้เคียงมนุษย์ค้างคาว) หรือ ช่วงเช้าตรู่ (ถ้าคุณชอบหากินดั่งนก) แต่ควรตระหนักไว้หน่อยว่า นกไม่จำเป็นต้องจับหนอนได้เสมอไป ในตลาดเทรด คุณอาจได้หนอนมาเหมือนกัน แต่เจ้านกสกปรกตัวใหญ่กว่าอาจฉกหนอนของคุณต่ออีกทีก็ได้
ช่วงเวลานิวยอร์คเวลาโลก
โตเกียว เปิด7:00 pm.0:00
โตเกียว ปิด4:00 am.9:00
ลอนดอน เปิด3:00 am.8:00
ลอนดอน ปิด12:00 pm.17:00
นิวยอร์ค เปิด8:00 am.13:00
นิวยอร์ค ปิด5:00 pm.22:00


  • ตลาด ฟอร์เร็กซ์ (OTC) over the counter

ฟอร์เร็กซ์ OTC ว่าไปแล้วเป็นตลาดเทรดเงิน ที่ใหญ่และป๊อปปูล่าที่สุดในโลก
ทำ การเทรดโดยบุคล และ องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก ในตลาด หน้าเค้าเตอร์ (OTC) สมาชิกผู้เทรดตัดสินใจว่าจะเทรดสกุลเงินไหน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความน่าเชื่อถือ ของราคา และประวัติ ของสุกลนั้นต่ออีกสกุลหนึ่ง
ผัง แสดงค่านิยม ของผู้เทรด ต่อสกุลเงิน แสดงว่า เงินดอล์ล เป็นเจ้าศูนย์กลางแห่งการเทรดของบรรดานักเทรดทั่วโลกถึง 89%ของการเทรดทั้งหมด ยูโรมาเป็นที่สอง และญี่ปุ่นมาเป็นที่สาม


  • ทำไมไม่ซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ มาเทรดฟอร์เร็กซ์ทำไม
  1. มี ผลประโยชน์นานัปการสำหรับการเทรดฟอร์เร็กซ์ ด้านล่างนี้เป็นเพียงเหตุผลบางส่วนที่ ทำไมคนส่วนใหญ่เลือกเทรด ฟอร์เร็กซ์ ไม่มีค่าคอมมิชชั่น ไม่มีค่าเคลียริ่ง ไม่มีค่าแลกเปลี่ยน ไม่มีค่าธรรมเนียม ไม่มีค่าโบรกเกอร์ โบรกเกอร์ได้ค่าตอบแทนจาก อัตราค่าต่างของราคาเสนอซื้อกับราคาเสนอขาย ที่เรียกว่า bid-ask sprade
  2. ไม่ มีพ่อค้าคนกลาง การเทรดผ่านตลาดสปอต ทำให้ไม่สามารถมีพ่อค้าคนกลาง โดยที่คุณสามารถเทรดโดยตรงกับตลาดที่รับผิดชอบตามราคาที่กำหนดในชาร์ตอัตรา แลกเปลี่ยนคู่สกุลเงิน
  3. ไม่จำกัดขนาดของ lot ในตลาดเทรดปัจจุบัน ขนาดของ lot มีขนาดต่างกัน ขนาดแสตนดาร์ด สำหรับเทรดซิลเวอร์คือ น้ำหนัก 5,000 ออนซ์ ในตลาดสปอตฟอร์เร็กซ์ คุณสามารถเลือกขนาดล๊อตได้เอง ทำให้ผู้เทรดสามารถเลือกล๊อตขนาดเล็กถึง 250 เหรียญ (อย่างไรก็ตามเราจะพูดถึงอีกทีว่า ขนาดล๊อต 250 เหรียญไม่ใช่ว่าดีX
  4. ค่าเสปรดต่ำ ค่ารายการบัญชี (bid/ask spread) โดยทั่วไปจะต่ำกว่า 0.1 % ในสภาวะปกติ ดีลเลอร์ใหญ่ค่าเสปรดอาจต่ำเพียง .07% โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับขนาดของล๊อตที่คุณเลือก เราจะอธิบายในภายหลัง
  5. ตลาด 24 ชั่วโมง ไม่มีการที่จะต้องรอที่ทำการเปิด จากเช้าตรู่วันจันทร์ยันเช้าตรู่วันศุกร์ตามเวลาบ้านเรา ตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่เคยหลับ ถ้าคุณเทรดพาร์ทไทม์ คุณสามารถเลือกที่จะ เทรด เวลาไหนก็ได้ เช้า สาย บ่าย เย็น หรือ ขณะที่คนอื่นกำลังฝันหวาน
  6. ไม่สามารถปั่นตลาดได้ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินฟอร์เร็กซ์ ใหญ่โตมโหรถึกมากจนไม่มีเศรษฐีหรือองค์กรไหน ๆ (แม้กระทั่วเซนทรัลแบงค์) ก็ตาม สามารถที่จะตรึงราคาของสกุลเงินใด ๆ ไว้ได้เกินชั่วขณะ
  7. Levelage เลเวลเลจ ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ คือจำนวนมาร์ยิน หรือเครดิทที่คุณจะได้จากดีลเลอร์ เลเวลเลจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถทำกำไรให้คุณได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ให้เลเวลเลจคุณในอัตรา 200 ต่ด 1 นั่นหมายความว่าคุณวางเงินเพียง 50 ดอล์ล คุณสามารถเทรดหรือซื้อขายได้ถึง 10,000 ดอล์ล ในทำนองเดียวกัน 500 เหรียญ ก็สามารถเทรดถึง 100,000 เหรียญ ตามสัดส่วน แต่เลเวลเลจ ก็คือดาบสองคมเช่นกัน หากปราศจากการจัดการเงินที่ดี อัตราเลเวลเลจที่สูงเกินอาจทำให้เสียหายมากพอกับที่จะได้กำไรเช่นกัน
  8. แหล่งเงินที่คล่องตัวที่สุด เหตุที่ฟอร์เร็กซ์ ใหญ่โตมโหราฬมาก มันมีความคล่องของการหมุนเวียนเงินเช่นกัน นั่นหมายความว่า ภายใต้สถานการณ์ปกติ จากการแค่คลิ๊กเมาซ์ที่ปลายนิ้ว สามารถซื้อหรือขายได้ทันที คุณไม่ต้องรอจนกว่าจะมีคู่ซื้อเหมือนหุ้นสินทรบ้านเรา ที่บางครั้งต้องเทขายด่วนที่สุดแต่หาคนซื้อไม่ได้ เพราะมีแต่คนเทขาย อิอิ… นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งกำหนดการซื้อการขายบนหน้าจอ ตามราคาที่คุณต้องการและ ระบุราคาปิด หรือตั้งราคาจำกัดการขาดทุนได้อีกด้วย
  9. เปิดบัญชี ดีโม ทดลองเล่นในสภาวะตลาดแท้จริงได้ฟรี มีข่าว ราคา และการวิเคราห์ พร้อมบนหน้าจอมอนนิเตอร์ในห้องทำงานหรือในบ้านอันสุขสบายของคุณ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ เสนอฟรีให้ท่านสามารถทดลองเทรดเหมือนจริง เพื่อเพิ่มทักษะ และความมั่นใจ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่สังเวียนและเทรดด้วยเงินแท้ ๆ
  10. บัญชีเทรด Mini และ Micro คุณอาจจะคิดว่าถ้าจะเริ่มเข้าเทรด อาจต้องใช้เงินเป็นตัน ความจริงแล้ว ถ้าเทียบกับการซื้อหุ้นอุตสาหกรรม ไม่ใช่เลย โบรกเกอร์ ออนไลน์ ของฟอร์เร็กซ์ มีการเสนอ บัญชี Micro และ Mini สำหรับผู้มีเบี้ยน้อยหอยน้อย ไม่กี่เหรียญก็เข้าเทรดได้ เราไม่ได้พูดว่าจะต้องมีเงินอย่างต่ำเท่าไหร่จึงสมควรที่จะเปิดบัญชเทรด แต่ข้อเสนอนี้ทำให้ ฟอร์เร็กซ์ สามารถเข้าถึงได้จากคนทั่วไปหรือจนกว่าทั่วไปซะอีก ที่ไม่มีเงินทุนเป็นก้อนเป็นกำที่จะเริ่มเทรด เหมือนหุ้นสินทรบ้านเรา
  • ต้อง มีเครื่องมืออะไรในการเริ่มเทรดฟอร์เร็กซ์
คอมพิวเตอร์ ซักเครื่องพร้อมไฮสปีดอินเตอร์เนท ซึ่งแทบทุกบ้านก็คงมีอยู่พร้อมแล้ว และข้อมูลในเวป แค่นั้นเอง
  • ต้องเสียเงินเท่าไหร่ที่จะเทรด ฟอร์เร็กซ์
เทรดออนไลน์ ไมโคร Micro อาจใช้เงินเพียงแค่ร้อย สองร้อย เหรียญก็พอแล้ว หรือเขยิบขึ้นอีกนิด คือ Mini Accounทั้งสองอย่างเหมาะที่จะใช้ในการเริ่มเทรด เข้าประลองยุธเอาเหงื่อซักหน่อย ไม่ถึงกับทำให้ล่มจม จะเลือกอย่างไหนก็ตามแต่ ซักประมาณ พันเหรียญ หรือ หมื่นเหรียญสำหรับMini Account ก็น่าเหมาะที่จะเริ่มได้เลย… แต่ช้าก่อน หากคุณคุ้นเคยกับ 9professionaltrader สัก หน่อย คุณจะพบว่าเรามีเทคนิคมากมาย พร้อมเครื่องมือที่จะทำให้คุณโกยเงินจากอากาศได้อย่างสบาย ๆ ด้วยซ้ำ คุณอาจลืม MLM (มันหลอกมึง) ที่คุณเหนื่อยล้า สุดระอา กับมันแล้วก็ได้ นี่คือธุรกิจที่ไม่มีคูแข่ง คุณสามารถขายหรือปิดออเดอร์ ได้ทุกวินาทีที่คุณต้องการ ไม่ต้องมีโกดังใหญ่โตเพื่อเก็บสินค้าที่คุณซื้อ ไม่ต้องสู้กับค่าน้ำมันขนส่งสินค้าไปให้ลูกค้า ไม่กังวลว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก หรือม๊อบจะเคลื่อนขบวน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณมีที่ปรึกษามืออาชีพอยู่เคียงข้างคุณที่ปลายนิ้ว เพียงแค่ พิมคำว่า 9prof  ที่กูเกิ้ล ท่านก็จะเจอ Blog เราทันที