Thursday, October 28, 2010

The Age of Fallibility ยุคแห่งความคลาดเคลื่อน 1-2



คอลัมน์ ผ่ามันสมองของปราชญ์  โดย ดร.ไสว บุญมา  ประชาชาติธุรกิจ  วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3927 (3127)


เมื่อ เอ่ยชื่อของ จอร์จ โซรอส (George Soros) คนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเคยได้ยิน ชื่อของเขาคงนึกถึง "พ่อมดการเงิน" ผู้โจมตีค่าเงินบาทจนก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ส่วนเขาจะได้โจมตีค่าเงินบาทจนถึงขนาดก่อให้เกิดวิกฤตจริงหรือไม่ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างไรและได้ทำอะไรอีกบ้างคงไม่มีผู้ใส่ใจเท่าไรนัก จริงอยู่จอร์จ โซรอส เป็นผู้หนึ่ง ซึ่งบุกเบิกกิจการด้านกองทุนเก็งกำไร (hedge funds) และได้โจมตีค่าเงินของหลายประเทศ แต่เขายังทำกิจกรรมอื่นอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะการสร้างเสริมระบอบประชาธิปไตยในหลายส่วนของโลก ยิ่งกว่านั้นเขายังได้ศึกษาวิชาปรัชญาอย่างแตกฉานจนสามารถสร้างฐานของการ อ่านกระแสโลกเป็นของตัวเองได้ เขาอ้างว่าหลักปรัชญาและการอ่านกระแสโลกอย่างถูกต้องของเขาเป็นปัจจัยที่ทำ ให้เขาประสบความสำเร็จในกิจการเก็งกำไร ซึ่งเขาได้เล่าไว้ในที่ต่างๆ รวมทั้งในหนังสือ 9 เล่มของเขาด้วย ในหนังสือเล่มล่าสุดชื่อ The Age of Fallibility: The Consequences of the War on Terror ซึ่งพิมพ์ออกมาเมื่อปีที่แล้ว เขารวบรวมแนวคิด และการอ่านกระแสโลกปัจจุบันอันน่าสนใจไว้อีกครั้งหนึ่ง โดยการแยกนำเสนอหนังสือขนาด 250 หน้าเล่มนี้ออกเป็น 2 ภาคด้วยกัน ภาคแรกพูดถึงกรอบความคิดและภาคหลังเป็นการอ่านกระแสโลก

ในภาคกรอบ ความคิด จอร์จ โซรอส เริ่มต้นด้วยการพูดถึงคำว่า "ความเป็นจริง" (reality) และ "ความเข้าใจไม่สมบูรณ์" (fallibility) ซึ่งเป็นคำหลักในชื่อของหนังสือ เขาอธิบายว่า "ความเป็นจริง" หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่และเกิดขึ้นซึ่งรวมทั้งการกระทำ ความคิดและความเข้าใจในความเป็นจริงของเราด้วย แต่โดยธรรมชาติเราจะไม่มีวันเข้าใจ ในความเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์เพราะความเป็นจริงนั้นสะท้อนความคิด และการกระทำของเรา ซึ่งเปลี่ยนไปตลอดเวลายังผลให้ความเป็นจริงเปลี่ยนไปด้วย บทบาทของเราที่มีต่อความเป็นจริง และบทบาทของความเข้าใจในความ เป็นจริงที่มีต่อความคิดและการกระทำของเรา มีลักษณะของการสะท้อนกลับไปกลับมา กระบวนการสะท้อนกลับไปกลับมานี้จอร์จ โซรอส เรียกว่า Reflexivity

ความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของความเป็น จริง และบทบาทของเราที่ทำให้ความเป็นจริง เปลี่ยนไปเป็นปัจจัยที่ทำให้โลกตกอยู่ในภาวะของความไม่แน่นอนและความไม่ สมดุลอย่าง ต่อเนื่อง นอกจากนั้นการกระทำของเรายังอาจ มีผลที่เรามิได้ตั้งใจอีกด้วย ประเด็นสำคัญในการดำเนินชีวิตคือ การลดความคลาดเคลื่อนระหว่างความเข้าใจของเรากับความเป็นจริง และผลกระทบที่เราไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เกิดขึ้น

การแสวงหาความรู้ เพื่อให้เข้าใจโลกรอบด้าน ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญของมวลมนุษย์ มาตลอดประวัติศาสตร์ ก็เพื่อต้องการลดความคลาดเคลื่อนนั้น แต่โดยทั่วไปผู้คนก็ ยังไม่ค่อยตระหนักในความคลาดเคลื่อนอยู่ดี นอกจากจะไม่ตระหนักในความคลาดเคลื่อนนี้แล้ว บางคนยังคิดว่าตนเองเข้าใจความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์อีกด้วย เช่น ผู้ที่เชื่อในระบบ คอมมิวนิสต์และระบบเผด็จการนาซี เนื่องจากคนเหล่านั้นเชื่อในความถูกต้องของตน พวกเขาจึงพยายามบังคับให้คนอื่นเชื่อตามด้วย ความสำคัญผิดเช่นนี้มีอยู่ตลอดประวัติศาสตร์ และเป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์ด้วย บางครั้งความสำคัญผิด เป็นตัวขับเคลื่อนให้ตลาดการเงินผันผวนอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น จอร์จ โซรอส มีความเข้าใจมากกว่าจึงสามารถแสวงหาเงินได้จากการเก็งกำไรที่ ไม่มีผู้ใดคาดคิด ตรงข้ามกับความเชื่อของคนเหล่านั้น มีปราชญ์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเชื่อในเรื่องความไม่สมบูรณ์และความคลาดเคลื่อน ดังกล่าว โดยเฉพาะคาร์ล พอพเพอร์ (Karl Popper) ซึ่งใช้ความเชื่อนั้นวางรากฐานเรื่อง "สังคมเปิด" (open society) ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดของจอร์จ โซโรสมาก และเขาได้อธิบายรายละเอียดไว้ในบทที่ 2 และภาคผนวก

แม้จอร์จ โซรอส จะรับว่าคาร์ล พอพเพอร์ มีอิทธิพลต่อแนวคิดของเขาซึ่งมีลักษณะเป็นเสมือนตะเกียบ 2 ขาคือ "ความเข้าใจไม่สมบูรณ์" (fallibility) และ "การสะท้อนกลับไปกลับมา" (reflexivity) ระหว่างความคิดและการกระทำ กับความเป็นจริง แต่เขาไม่เห็นด้วยกับความเชื่อของพอพเพอร์ที่ว่ากฎเกณฑ์ และวิธีที่ใช้ในการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ จะสามารถนำมาใช้กับวิชาสังคมศาสตร์ได้ เพราะธรรมชาติมีกฎที่แน่นอนแต่สังคมมนุษย์มีความไม่แน่นอน ในด้านวิทยาศาสตร์ทฤษฎี จะมีค่าและนำมาใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อ มันมีความถูกต้อง แต่ในด้านสังคมศาสตร์ซึ่งรวมทั้งด้านการเมืองด้วย แนวคิดหรือทฤษฎีผิดๆ อาจถูกนำมาใช้ได้ผลจนทำให้ผู้ใช้เป็นฝ่ายชนะ จอร์จ โซรอส ยอมรับว่าแนวคิดของเขาอาจไม่ใช่ของใหม่ในแง่ที่อาจมีผู้อื่นคิดได้ก่อนแล้ว แต่เขาเชื่อว่ามันอาจมีบางแง่ที่ใหม่โดยเฉพาะการนำมาประยุกต์ใช้ในด้านที่ ไม่มีใครเคยคิดทำมาก่อน การเก็งกำไรที่ได้ผลดีจนสร้างความเป็นมหาเศรษฐีให้แก่เขาอาจเป็นตัวชี้วัด อย่างหนึ่ง

เกี่ยวกับ "สังคมเปิด" จอร์จ โซรอส ยอมรับว่ามันเป็นแนวคิดที่ยากแก่การอธิบาย ในความเห็นของเขา มันไม่ใช่แนวคิดหรือทฤษฎีทางการเมือง หากเป็นแนวคิดที่วาง อยู่บนฐานของปรัชญาด้านการแสวงหา และขอบเขตของความรู้และความตระหนักว่า เราไม่สามารถเข้าใจความเป็นจริงได้ทั้งหมด มันมีความคล้ายกับหลักประชาธิปไตยแต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เช่น สหรัฐอเมริกาเป็นสังคมเปิด แต่คนอเมริกันไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรอย่างถ่องแท้และไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ของมันอย่างสมบูรณ์ สังคมเปิดต้องเปิดทั้งต่อภายนอกและภายใน นั่นคือ เปิดรับสินค้า แนวคิดและบุคคลจากภายนอกพร้อมๆ กับเปิดให้ผู้ที่อยู่ภายในแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวางและมีโอกาสอย่าง ทัดเทียมกัน

คำว่า "สังคมเปิด" ถูกเอ่ยถึงเป็นครั้งแรกโดยนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสชื่อ อองรี เบอร์กซอน (Henri Bergson) ในหนังสือชื่อ Two Sources of Morality and Religion ซึ่งพิมพ์เมื่อปี 2475 เบอร์กซอนเสนอว่า คุณธรรมและศาสนาอาจมาจากฐานความคิด 2 อย่างด้วยกัน นั่นคือ แนวคิดที่ใช้กันเฉพาะในเผ่าใดเผ่าหนึ่งและแนวคิดที่ใช้ได้กับสังคมมนุษย์ ทั่วไป แนวคิดที่ใช้เฉพาะในเผ่านำไป สู่การสร้างสังคมปิด ในขณะที่แนวคิดที่ใช้ได้กับสังคมมนุษย์ทั่วไปโดยไม่จำกัดเผ่า ชาติพันธุ์และศาสนานำไปสู่สังคมเปิด คาร์ล พอพเพอร์ เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ และต่อยอดมันออกไปด้วยการให้เพิ่มความระมัดระวังเพราะความเชื่อบางอย่าง เช่น ระบบคอมมิวนิสต์ซึ่งใช้ได้กับมนุษย์ทั่วไป อาจวางอยู่บนฐานของการคิดว่าผู้ปฏิบัติรู้ความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์ ความเชื่อเช่นนั้นนำไปสู่การสร้างสังคมปิด ที่บังคับกดขี่ให้ผู้อื่นทำตาม แต่พอพเพอร์เองไม่ได้ให้นิยามของสังคมเปิดว่าคืออะไร ส่วนจอร์จ โซรอส เองก็ไม่ได้ให้คำนิยามสั้นๆ เช่นกัน เพียงแต่บอกว่ากรอบความคิดของเขาวางอยู่บนฐานของความเชื่อ ที่ว่าโลกมีความเปลี่ยนแปลงชนิดที่เกิดขึ้นโดยเราไม่สามารถคาดเดาได้จากความ รู้ที่เรามีอยู่ โลกนี้จึงมีความไม่แน่นอน การยอมรับเรื่องความไม่แน่นอนนำไปสู่การคิดเชิงวิเคราะห์และสังคมเปิด ส่วนการไม่ยอมรับเรื่องความไม่แน่นอนนำไปสู่การสร้างสังคมปิด

ความ เชื่ออย่างแรงกล้าว่ากรอบความคิดดังกล่าวจะช่วยทำให้โลกดีขึ้น ประกอบกับความสามารถในการสร้างความร่ำรวย ทำให้จอร์จ โซรอส ก่อตั้ง "มูลนิธิสังคมเปิด" (Open Society Foundation) ขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เกิดสังคมเปิด ในประเทศที่เป็นสังคมปิด เริ่มด้วยกิจกรรม เช่น การให้ทุนการศึกษา ในประเทศแอฟริกาใต้เมื่อปี 2522 ซึ่งในขณะนั้นยังมีการแบ่งแยกผิวอย่าง เด็ดขาด กิจกรรมของมูลนิธินั้นขยายต่อไป ในประเทศที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก จีนและประเทศต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 2534 ประสบการณ์จากการส่งเสริมสังคมเปิดทำให้จอร์จ โซรอส สรุปว่าความล่มสลายของสังคมปิดไม่จำเป็นจะต้องนำไปสู่การสร้างสังคมเปิดโดย อัตโนมัติ มันอาจนำไปสู่ความล่มสลายซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ได้ การปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงยังไม่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ ซึ่งเคยอยู่ในเขตปกครองของระบบคอมมิวนิสต์ ยิ่งกว่านั้นสังคมเปิด ที่มีอยู่แล้วอาจไม่คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืนก็ได้ เขาเล่าว่าตอนนี้แนวคิดของเขาได้รับการท้าทายอย่างคาดไม่ถึงจากรัฐบาล อเมริกัน ซึ่งมีประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นผู้นำ เขาคาดไม่ถึงเพราะสหรัฐอเมริกาเป็นสังคม ที่มีลักษณะของสังคมเปิดมากที่สุดมานาน แต่กำลังจะถอยหลังเข้าคลองเพราะวิธีบริหารประเทศของประธานาธิบดีบุชและคณะ
คอลัมน์ ผ่ามันสมอง ของปราชญ์  โดย ดร.ไสว บุญมา  ประชาชาติธุรกิจ  วันที่ 03 กันยายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3928 (3128)

ใน ภาค 2 ของหนังสือ จอร์จ โซรอส เสนอการอ่านกระแสโลกจาก กรอบความคิดที่เขาเสนอไว้ใน ภาคแรก โดยแยกการอ่านออกเป็นส่วนที่ เกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาและส่วนที่เกี่ยวกับ สังคมโลกพร้อมกับเสนอทางแก้ไข แล้วจบหนังสือด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับการขาดแคลนพลังงาน

จอร์จ โซรอส เล่าว่า หลังจากได้ทำกิจกรรมด้านส่งเสริมสังคมเปิดและระบอบประชาธิปไตยในต่างประเทศ อยู่กว่า 10 ปี มูลนิธิของเขาเริ่มทำกิจกรรมในสหรัฐอเมริกา แต่เขาไม่ได้ทำกิจกรรมด้านการเมือง หากเป็นด้านการแก้ปัญหายาเสพย์ติด และด้านการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่อยู่ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเพื่อให้พวกเขาอยู่อย่างสบายก่อนที่จะจากโลกไป ในการทำกิจกรรมเหล่านั้น เขาพบแนวโน้มบางอย่างที่มีผล กระทบในทางลบต่อรากฐานของสังคมเปิดในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการแสวงกำไรที่ได้กลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของ ทุกสายงาน ไม่ว่าจะเป็นในด้านกฎหมาย ด้านการแพทย์ ด้านการทำสื่อ หรือด้านการค้นคว้าทางวิชาการ ในสถาบันการศึกษา การมุ่งเน้นการแสวงหา กำไร นำไปสู่ความถดถอยของคุณธรรม /จริยธรรม ยิ่งกว่านั้น การค้นคว้าทางวิชาการซึ่งวางอยู่บนฐานของความมีอิสระที่จะคิดเชิง วิพากษ์ ได้อย่างกว้างขวางยังถูกแทรกแซง จากผู้ที่ยึดมั่นในลัทธิต่างๆ อย่างตกขอบ อีกด้วย

เขากล่าวว่า สหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไปอย่าง มีนัยสำคัญหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 เมื่อผู้ก่อการร้ายใช้เครื่องบินเป็นอาวุธโจมตีสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประกาศสงครามกับการก่อการร้ายโดยใช้วิธีที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งของ คนอเมริกันเองและของชาวต่างประเทศ บิดเบือนข้อมูลและโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ เกิดความหวาดกลัวขึ้นในสังคมอเมริกัน การส่งทหารเข้าไปยึดครองอิรักของสหรัฐ อเมริกาเป็นแนวคิดที่ได้มาจากกลุ่มผู้นำ ที่มองว่าสหรัฐจะสามารถใช้อำนาจเป็น เครื่องมือเพื่อครอบงำโลกได้ กลุ่มนี้นำโดย รองประธานาธิบดีดิกค์ เชนนี และรัฐมนตรีกลาโหมโดนัลด์ รัมสเฟลด์

แต่จอร์จ โซรอส ไม่ประณามผู้นำเหล่านั้นเพียงกลุ่มเดียว หากเขาประณามชาวอเมริกันโดยทั่วไปที่ปล่อยให้คนเหล่านั้น ทำอะไรได้ตามใจชอบอีกด้วย การเลือกประธานาธิบดีบุชให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 เป็นการตอกย้ำว่าชาวอเมริกันยังถูกผู้นำจูงจมูกได้ อย่างง่ายดาย เขามองว่าวิวัฒนาการหลายอย่างในสังคมอเมริกัน เป็นต้นตอของปัญหาโดยเฉพาะการบูชาความสำเร็จที่วัดด้วยเงินโดย ไม่ใส่ใจว่าความสำเร็จและเงินนั้นจะมาจาก การทำลายคุณธรรม/จริยธรรมหรือไม่ เหนือสิ่งอื่นใดสังคมอเมริกันได้กลายเป็นสังคมบริโภคนิยมแบบสุดโต่ง รับฟังแต่สิ่งที่ระรื่นหูและไม่ยอมรับรู้อะไรหากมันไม่ใช่ข่าวดี ที่ตนต้องการได้ยิน ความต้องการบริโภค แบบเมามันซึ่งวางอยู่บนฐานของความอยากทำให้ชาวอเมริกันถูกปั่นหัวได้ง่ายจาก นักการตลาด ซึ่งพยายามกระตุ้นกิเลสให้เพิ่มขึ้นอย่าง ไม่หยุดยั้ง นักการเมืองอ่านสถานการณ์เช่นนี้ออก จึงพยายามใช้การตลาดนำหน้า พยายามซุกซ่อนข่าวไม่ดีและบิดเบือนข้อมูล ให้ชี้บ่งไปในทางที่ชาวอเมริกันอยากได้ยินเท่านั้น

มองจากกรอบความ คิดของเขา จอร์จ โซรอส กล่าวว่า สงครามกับผู้ก่อการร้าย ทำให้ความคิดของสังคมอเมริกันอยู่ห่างไกล จากความเป็นจริงมาก ยังผลให้เหตุการณ์วิวัฒน์ออกไปไกลแสนไกลจากภาวะของ ความสมดุล การกระทำของรัฐบาลอเมริกัน ก่อให้เกิดผลที่ไม่ได้คาดคิดหลายอย่าง เช่น สงครามกลางเมืองในอิรัก ความขัดแย้งและความเดือดร้อนในตะวันออกกลาง ขยายออกไปในวงกว้างขึ้น ศักดิ์ศรีและความเป็นผู้นำโลกของสหรัฐลดลงในขณะที่ของประเทศอื่น เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะของจีนและรัสเซีย และความปลอดภัยของชาวอเมริกันลดลงพร้อมๆ กับความนิยมของคนอเมริกัน ที่มีต่อตัวประธานาธิบดีบุชกับคณะ หากสงคราม กับการก่อการร้ายซึ่งไม่มีตัวตนแน่นอน ยังดำเนินต่อไปในแนวที่เป็นมา จอร์จ โซรอส ทำนายว่า ฐานทางสังคมเปิดของสหรัฐอเมริกาจะพังทลายลง

นอกจากจะ ประสบกับความถดถอย ทางคุณธรรม/จริยธรรม ความเป็นผู้นำ ของโลกลดลงและความไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้นแล้ว สังคมอเมริกันยังกำลังจะประสบกับ ความถดถอยทางด้านความเป็นอยู่อีกด้วย เป็นเวลานานที่ชาวอเมริกัน เพิ่มการบริโภคแบบเมามันของตน ผ่านการสร้างหนี้ ทั้งหนี้ภายในและหนี้ภายนอกประเทศ การบริโภคของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากการเป็นหัวพ่อค้าและ การอดออมสูงของชาวเอเชีย ชาวอเมริกัน ใช้บัตรเครดิตและเงินจากการจำนองบ้าน เพื่อการบริโภคซึ่งนำไปสู่การขาดดุลกับประเทศในเขตเอเชีย แต่ประเทศเหล่านี้ ยินดีจะรับเงินดอลลาร์เก็บไว้ทำให้ ชาวอเมริกันบริโภคได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จอร์จ โซรอส ทำนายว่า สภาพเช่นนี้จะอยู่ต่อไป ได้อีกไม่นาน ราคาบ้านและค่าของเงินดอลลาร์จะตกและชาวอเมริกันจะประสบปัญหา จนไม่สามารถคงความเป็นอยู่ใน ระดับเดิมไว้ได้ เขาทำนายไว้เมื่อปี 2549 สิ่งเหล่านั้นกำลังเกิดขึ้นตรงดังที่เขาทำนาย นั่นคือทั้งค่าเงินดอลลาร์และราคาบ้าน กำลังตกในปี 2550

สำหรับด้าน การอ่านกระแสโลก จอร์จ โซรอส เน้นด้านผลกระทบที่สหรัฐอเมริกาใช้อำนาจอันเกิดจากพลังทางทหาร เป็นแนวการดำเนินนโยบาย แทนที่จะใช้กฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมกับใช้ความเชื่อในอำนาจ ของระบบตลาดแบบตกขอบแก้ปัญหาโดยปราศจากความเมตตาต่อผู้ที่ไม่มีโอกาส หรือในอีกนัยหนึ่งผลกระทบต่อสังคมโลก ของการทำตัวเป็นอันธพาลของอภิมหาอำนาจ ผู้มุ่งแสวงหาประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น เขามองว่าโลกกำลังตกอยู่ในภาวะไม่สมดุลอย่างร้ายแรง นั่นคือ การพัฒนาสถาบัน ของโลกตามไม่ทันวิวัฒนาการทางด้านตลาดเงิน การเคลื่อนไหวของกองทุนเอกชน มีมากจนเกินศักยภาพของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลกที่จะดูแล ประเทศด้อยพัฒนาต่างพากันแย่งชิงเงินทุนแต่ประเทศที่ดูดเงินทุนไปใช้ส่วน ใหญ่กลับได้แก่สหรัฐอเมริกาเอง

ในด้านเศรษฐกิจ จอร์จ โซรอส อ่านว่า ความไม่สมดุลร้ายแรงนั้นจะไม่นำไปสู่ วิกฤตเศรษฐกิจโลกในเร็ววันนี้ แต่จะมีปัญหาในระดับประเทศซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวช้า กว่าความคาดหวังของประชาชนจนก่อให้ เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวาง เขายกตัวอย่างหลายประเทศ เช่น ละตินอเมริกา แอฟริกาใต้ และอินโดนีเซีย เนื่องจาก ปัญหาจำพวกนี้จะจำกัดอยู่ในระดับประเทศเท่านั้น มันจึงจะไม่มีผลกระทบร้ายแรงต่ออนาคตของมนุษยชาติ ส่วนปัญหาหนักหนาสาหัสซึ่งอาจทำให้มนุษยชาติล่มสลายได้แก่การแพร่กระจายของ อาวุธนิวเคลียร์และ ภาวะโลกร้อน

ในด้านอาวุธนิวเคลียร์ จอร์จ โซรอส มองว่าปัญหาเกิดจากการใช้มาตรฐานซ้อนและการไม่ทำตามข้อตกลงของมหาอำนาจเอง ตามข้อตกลงระหว่างประเทศมหาอำนาจไม่ต้องการให้ใครมีอาวุธมหาประลัยนี้นอกจาก 5 ประเทศเท่านั้น แต่มหาอำนาจกลับ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เมื่ออิสราเอลสร้าง อาวุธนิวเคลียร์และต่อมาอินเดียและปากีสถานก็สร้างบ้าง แต่พอมีกระแสข่าว ว่าเกาหลีเหนือและอิหร่านกำลังสนใจที่ จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์ มหาอำนาจกลับ ขู่เข็ญประเทศทั้งสองนั้น ในขณะเดียวกันประเทศมหาอำนาจเองก็ไม่ยอมทำลาย อาวุธนิวเคลียร์ของตนตามข้อตกลง ทำให้ประเทศอื่นต้องการสร้างมันไว ้สำหรับใช้ป้องกันตัว

สำหรับด้านภาวะโลกร้อนซึ่งต้องการ ความเป็นผู้นำของสหรัฐอเมริกาและ ความร่วมมือระหว่างประเทศ สหรัฐกลับ มองว่าปัญหาไม่หนักหนาสาหัสถึงขนาดจะต้องลดการใช้พลังงาน ที่เป็นเช่นนั้น เพราะรัฐบาลอเมริกันตกอยู่ในความครอบงำ ของบริษัทยักษ์ใหญ่โดยเฉพาะในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช การไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐอเมริกาทำให้ศักดิ์ศรีและความเป็นผู้นำของอภิ มหาอำนาจนี้ถดถอยลงไปอีก ฉะนั้น จอร์จ โซรอส มองว่าชาวโลกจะต้องหาทางออกสำหรับป้องกันความล่มสลาย ซึ่งเขาเขียนไว้ในบทที่ 6












































































































No comments:

Post a Comment