โจโฉนั้นเป็นคนขี้ระแวงคน
โจโฉเอาแต่ความสามารถ
จุดเด่นในการใช้คนของโจโฉคือโจโฉเอาแต่ความสามารถ คือโจโฉในตอนนั้นกำลังจะขึ้นปกครองประเทศ โจโฉได้ประกาศฉบับหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า “คำสั่งแสวงหานักปราชญ์” เสนอแนวทางใช้คนที่เอาแต่ความสามารถ โดยบอกไว้ในประกาศนี้ว่า หากใช้แต่คนสุจริต ไฉนฉีเหวิน กง จะเป็นใหญ่ได้
ฉี เหวิน กง เป็นคนที่ในสมัยก่อนหน้านั้นที่เขาเป็นใหญ่ในแคว้นฉี ขอแต่ให้มีความสามารถเราได้ก็จักใช้
คำสั่งสองฉบับชี้ให้เห็นว่า “บัณฑิตที่มีความประพฤติดีใช่ว่าจักใช้ได้ ผู้ที่ใช้ได้ไม่แน่ว่าจะประพฤติดี”
พูดง่ายๆ ก็คือว่าโจโฉเอาคนเก่งอย่างเดียว ไม่เอาคุณธรรม
จะเห็นได้ว่าผู้ที่มีข้อบกพร่องไม่ควรทิ้งห่างคนใช้ ไม่ว่าจะต่ำช้าสักเพียงใด แม้กระทั่งคนที่ไร้เมตตาธรรม ไร้ความกตัญญู ขอแต่ให้มีฝีมือการปกครองและใช้ทหารเป็น ก็ต้องนำมาใช้
นี่คือวิธีใช้คนของโจโฉ
ดังนั้นถ้านายของท่านเอาคนแต่ความสามารถ ไม่ดูคุณธรรม ไม่ดูที่มาเลย นายท่านคือ “โจโฉ”
…แต่ว่าในตำนานสามก๊กนั้นไม่ได้หยิบยกคำสั่งแสวงหานักปราชญ์มาพูดเลย ได้แต่อาศัยพฤติการการใช้คนของโจโฉ เผยให้เห็นจุดเด่นของโจโฉที่ใช้คนโดยดูที่ความสามารถเป็นหลัก
เพราะว่าโจโฉใช้คนใช้คนโดยไม่คำนึงถึงชาติตระกูล และความประพฤติเลย จะเป็นใครก็ได้โดยไม่ต้องเป็นผู้รากมากดี ไม่ต้องจบ MBA ไม่ดูความประพฤติเลย แม้ว่าจะเป็นโจรป่ามาแต่ขอให้มีความสามารถ…ใช้ทั้งหมดเลย
คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่จึงเข้ามานอบน้อม บุคลากรของโจโฉเลยมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบู๊ หรือฝ่ายบุ๋น
คนที่เป็นนักปรึกษาที่เด่นๆ ในหมู่นักปรึกษาของโจโฉนอกจากซุนฮกซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์คนหนึ่งแล้ว ยังมีกุยแก
ซึ่งกุยแกนั้นว่ากันว่าเป็นคนที่ฉลาด ยังไม่รู้เลยว่าเจอขงบ้งแล้วใครจะฉลาดกว่ากัน เพราะกุยแกตายไปเสียก่อน
กุยแก เป็นนักวางแผนชั้นเยี่ยมคนหนึ่ง เขาเสนอกลอุบายพิศดารให้แก่โจโฉเป็นอันมากตลอดมา
กลอุบายแต่ละอย่างก็ได้บรรลุผลทั้งสิ้น
ผู้นำระดับ 5 (Level 5 Leadership)
ชัยชนะของความอ่อนน้อมถ่อมตน และความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า
บทเรียนจาก Good to Great
ในปี 1971 Darwin E. Smith ถูกเสนอชื่อให้เป็น CEO ของ บริษัท Kimberly-Clark บริษัทผลิตกระดาษอนุรักษ์นิยมผลตอบแทนหุ้นในช่วง 20 ปีก่อนหน้าก็ต่ำกว่าตลาดรวมถึง 36 % Smith เป็นทนายความประจำบริษัท บุคลิกสุภาพ เงียบขรึม เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าคณะกรรมการจะตัดสินใจถูกต้อง กรรมการบริษัทคนหนึ่งมองว่าเขาขาดคุณสมบัติบางอย่าง ทว่าในที่สุด Smith ก็ก้าวขึ้นเป็น CEO และดำรงตำแหน่งนี้นานถึง 20 ปี ภายใต้การบริหารของเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าพิศวง และส่งผลให้บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจกระดาษชำระ (Consumer paper) ของโลก
Kimberly-Clark เอาชนะคู่แข่งอย่าง Scott และ Procter & Gamble ยิ่งไปกว่านั้นหุ้นของบริษัทยังให้ผลตอบแทนสะสมมากกว่าผลตอบแทนโดยรวมของตลาดถึง 4.1 เท่า ผลตอบแทนที่ว่านี้สูงกว่าหุ้นของบริษัทที่มีประวัติยาวนานน่าเลื่อมใสอย่าง Hewlett-Packard, 3M, Coca-Cola, รวมทั้ง GE
การฟื้นฟู Kimberly-Clark ของ Smith ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 20 การที่ผู้บริหารนำพาบริษัทที่แทบจะไม่มีอะไรดีให้กลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงได้
ทว่าน้อยคนนักจะรู้จักชื่อของ Darwin E. Smith กระทั่งนักศึกษาที่เรียนด้านประวัติศาสตร์ธุรกิจเองก็ตามบางที Smith อาจจะชอบที่ไม่มีคนรู้จัก แม้เขาจะเป็นตัวอย่างคลาสสิกมากของผู้นำระดับห้า (Level 5 Leader) ในฐานะคนๆ หนึ่ง ซึ่งผสมผสานความถ่อมตัวอย่างสุดขั้ว (extreme personal humility) กับความมุ่งมั่นในวิชาชีพอย่างแรงกล้า (intense professional will) เนื่องเพราะการศึกษาตลอด 5 ปี พบว่าผู้บริหารที่มีคุณสมบัติที่ขัดแย้งในลักษณะนี้เป็นตัวกระตุ้นที่พบเห็นไม่บ่อยนัก ในการพลิกโฉมบริษัทดีให้กลายเป็นบริษัทดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง
Level 5 ถือเป็นระดับสูงสุดของความสามารถผู้บริหาร ผู้นำตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับสี่อาจจะสร้างความสำเร็จในระดับสูงได้ ทว่ายังไม่ดีพอ ที่จะยกระดับบริษัทธรรมดาๆ ให้เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าผู้นำระดับห้าจะไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวที่จะพลิกโฉมบริษัท
แต่งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการพลิกโฉมของบริษัทจะไม่เกิดขึ้นหากปราศจากผู้นำระดับห้า
บุคลิกสุดหยั่งคาดของผู้นำระดับห้า
การค้นพบเกี่ยวกับผู้นำระดับห้า (Level 5 Leader) เป็นเรื่องที่ขัดแย้งต่อสัญชาตญาณจริงๆ แล้วเข้าขั้นฝืนความนึกคิด คนทั่วไปมักจะคาดเดาว่าการพลิกโฉมจากบริษัทชั้นดีไปสู่บริษัทชั้นเลิศนั้นต้องการผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มากกว่าผู้นำที่ดูเป็นมนุษย์เดินดินจริงๆ หรือผู้นำที่มีบุคลิกภาพโดดเด่น เช่น Iacocca (Chrysler), Dunlap (Scott Paper), Welch (GE), และ Gault (Rubbermaid) ซึ่งมักทำตัวเป็นข่าวจนกลายเป็นคนดังที่ใครต่อใครรู้จักไปทั่ว
Smith ดูราวกับมาจากดาวอังคารเมื่อเปรียบเทียบกับ CEO เหล่านี้ ความเงียบขรึม ถ่อมตัว เคอะเขิน เป็นคุณสมบัติที่ทำให้เขาหลบเลี่ยงจากความสนใจของผู้คนเมื่อนักข่าวถามเกี่ยวกับสไตล์การบริหารของ Smith เขาปล่อยให้ทุกคนอยู่ในภาวะเงียบงันและอึดอัดอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่จะตอบว่า “บ้าระห่ำ (Eccentric)”
หากท่านมองว่า Smith เป็นคนอ่อนโยนและนุ่มนวลท่านกำลังเข้าใจผิดมหันต์ การไม่เสแสร้ง ประสานกับความเอาจริงเอาจัง อดทน มุ่งมั่นในชีวิต Smith เติบใหญ่ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในอินเดียนา ส่งเสียตนเองเรียนภาคค่ำที่มหาวิทยาลัยอินเดียนา โดยทำงานช่วงกลางวันที่ International Harvester กิจวัตรประจำวันของเขาคือการไปเรียนช่วงค่ำและตื่นมาทำงานในวันรุ่งขึ้น วันหนึ่งเขาเสียนิ้วมือไประหว่างการทำงาน ในที่สุดเด็กชาวนาผู้ยากจนแต่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นก็สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนกฎหมายที่ดีที่สุด เมื่อ Harvard law school ตอบรับเขาเข้าเป็นนักศึกษากฎหมาย
เขาแสดงให้เห็นความตั้งใจเด็ดเดี่ยวแบบเดิม เมื่อเข้ากุมบังเหียนในฐานะ CEO ของ Kimberly-Clark หลังจากดำรงตำแหน่ง CEO ได้ 2 เดือน แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็งจมูก-คอ และจะมีชีวิตอยู่ไม่เกิน 1 ปี เขาแจ้งเรื่องนี้อย่างเป็นทางการแก่คณะกรรมการบริหารบริษัท แต่ก็สำทับว่าเขายังไม่มีแผนลาโลกในเร็ว ๆ นี้
เขาทำงานตามกำหนดอย่างที่ตั้งใจ ขณะเดียวกันก็ต้องเดินทางไปมาระหว่าง Wisconsin กับ Houston ทุกอาทิตย์เพื่อรับการรักษาด้วยรังสี Smith มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 25 ปี มีวาระแห่งการเป็น CEO นานถึง 20 ปี
การแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของ Smith คือการสร้าง Kimberly-Clark ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจขายโรงงาน ซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของบริษัท หลังจากที่เข้ารับงานในบริษัท Smith และทีมงานลงความเห็นว่าธุรกิจดั้งเดิมของบริษัทคือการทำกระดาษเคลือบ (coated paper) ใกล้จะแย่ เศรษฐกิจไม่ดีคู่แข่งอ่อนแอ แต่ถ้า Kimberly-Clark เข้าสู่ความโชติช่วงของธุรกิจกระดาษชำระ เผชิญหน้ากับคู่แข่งระดับ World Class อย่าง P&G อาจจะผลักดันให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างงดงามหรือไม่ก็ย่อยยับไปเลย
ไม่ต่างจากนายพลที่เผาเรือเมื่อขึ้นฝั่งบนแผ่นดินของข้าศึก ปล่อยกองทหารไปยึดที่มั่นให้สำเร็จหรือไม่ก็ตายเสีย Smith ประกาศว่า Kimberly-Clark จะขายโรงงาน ไม่เว้นแม้แต่โรงงานที่ Kimberly ใน Wisconsin
การดำเนินการทั้งหมดเพื่อก้าวสู่ธุรกิจกระดาษชำระ มีการลงทุนในแบรนด์ เช่น Huggies diapers และ Kleenex tissue
นักข่าวเรียกการกระทำนี้ว่าเป็นก้าวย่างที่โง่เขลา นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้น Wall Street ลดอันดับหุ้นของบริษัทลง แต่ Smith ไม่เคยหวั่นไหว 25 ปีหลังจากนั้น Kimberly-Clark เป็นเจ้าของ Scott paper และเอาชนะคู่แข่งอย่าง P&G โดยสินค้าในหมวดเดียวกัน 6 ใน 8 ชนิด ของ Kimberly-Clark มีส่วนแบ่งตลาดสูงกว่า P&G
เขาได้รับการยอมรับในผลงาน Smith กล่าวคำพูดสั้นๆ ง่ายๆ ในวันเกษียณว่า “ผมไม่เคยละความพยายามเพื่อให้งานอยู่ในมาตรฐานที่ดี”